‘มท.-กษ.-ทส.’ ผนึกกำลังร่วมรับมือแก้วิกฤตภัยแล้ง ด้าน ‘คณะองคมนตรี’ ร่วมติดตามสถานการณ์ขอน้อมนำพระราชดำริ ‘ร.9-ร.10’ มาประยุกต์ใช้ เร่งช่วยปชช. ภาวนาอย่าให้รุนแรง เชื่อมีน้ำพอใช้ทุกพื้นที่
20 ส.ค.62 ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) เป็นประธานการประชุมเตรียมการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง โดยมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายนิพนธ์ บุญญามณี และนายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยัง 76 จังหวัด
ในการนี้คณะองคมนตรี ได้แก่ นายพลากร สุวรรณรัฐ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา นายจรัลธาดา กรรณสูต พล.อ.กัมปนาท รุดดิษฐ์ พล.ร.อ.พงษ์เทพ หนูเทพ นายอำพน กิตติอำพน พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท และพล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ร่วมติดตามสถานการณ์น้ำและแนวทางการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง โดยขอให้ทุกภาคส่วนน้อมนำพระราชกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการดูแลประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ให้สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว และน้อมนำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาให้สอดคล้องกับแต่ละสภาพพื้นที่ เน้นการวางแผนเผชิญเหตุและแก้ไขปัญหาอย่างรอบด้าน ให้ความสำคัญกับการจัดสรรน้ำอุปโภคบริโภคถึงระดับครัวเรือน การเชื่อมโยงการบริหารการจัดน้ำในแต่ละลุ่มน้ำ การดูแลแหล่งกักเก็บน้ำในระดับหมู่บ้าน ทั้งการขุดลอกคูคลองและสระน้ำ การกำจัดวัชพืชและโคลนตมในคลองส่งน้ำ การจัดหาภาชนะกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ และประสานจัดทำฝนหลวงเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้มากที่สุด
ด้านนายพลากร กล่าวตอนหนึ่งว่า ในฤดูแล้งที่จะถึงนี้ตั้งแต่เดือน พ.ย.62 - เม.ย. 63 ตนภาวนาให้การคาดการณ์ การพยากรณ์ครั้งนี้ผิดพลาด ซึ่งหมายความว่าราจะไม่ต้องประสบภัยแล้งมากนัก แต่หากการณ์พยากรณ์ดังกล่าวถูกต้องนั่นหมายถึงพี่น้องประชาชนพสกนิกรแห่งองค์พระบาทสมเด็จพรเจ้าอยู่หัวจะมีความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส ดังนั้นหวังว่าการประชุมวันนี้จะมีประโยชน์ ให้ทุกฝ่ายได้ร่วมกันจัดทำแผน เพื่อบรรเทาความเสียหาย บรรเทาความทุกข์ร้อนของพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ นั่นคือจุดมุ่งหมายของเรา
ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า บกปภ.ช.ได้บูรณาการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ภายใต้กฎหมายและแผนว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยผ่านกลไกการปฏิบัติของหน่วยงานทุกภาคส่วน แบ่งเป็น 4 ด้าน ดังนี้ 1.การคาดหมายและพยากรณ์สภาพอากาศ เพื่อติดตามสภาพอากาศ สถานการณ์น้ำ และแนวโน้มสถานการณ์ภัย ประกอบด้วย กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) 2.การบริหารจัดการน้ำ เพื่อวางแผนการใช้น้ำในด้านต่างๆ ประกอบด้วย สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมชลประทาน และกรมทรัพยากรน้ำบาดาล 3.การปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ ซึ่งให้ความสำคัญกับน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภคเป็นลำดับแรก ประกอบด้วย การประปาส่วนภูมิภาค กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ในส่วนของน้ำเพื่อการเกษตร ได้บริหารจัดการน้ำตามแผนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ 4.การสนับสนุนการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ ได้แก่ กระทรวงกลาโหม
และเหล่าทัพ โดยบูรณาการแก้ไขปัญหาภัยแล้งครอบคลุมทุกมิติ ติดตามข้อมูลสภาพอากาศ ปริมาณน้ำต้นทุน และชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงภัยจำแนกเป็น น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค น้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศน์ และน้ำเพื่อการเกษตร เพื่อวางแผนการจัดสรรน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในพื้นที่ รวมถึงจัดเตรียมทรัพยากรให้พร้อมรับมือภัยแล้ง ทั้งเจ้าหน้าที่ วัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรกลด้านสาธารณภัย รถบรรทุกน้ำ และเครื่องสูบน้ำ
รมว.มหาดไทย ยังกล่าวถึงการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและช่วยเหลือผู้ประสบภัยระยะเร่งด่วนว่า ได้เน้นย้ำให้จัดหาน้ำจากทุกแหล่งรองรับการใช้น้ำ ระดมเครื่องจักรกลสาธารณภัยผันน้ำดิบเข้าสู่ระบบการผลิตน้ำประปา ขุดลอกแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ขุดเจาะและเป่าล้างบ่อบาดาล ควบคู่กับการจัดสรรน้ำสนับสนุนทุกพื้นที่เสี่ยงภัย มุ่งดูแลด้านน้ำอุปโภคบริโภคเป็นหลัก โดยจัดรถบรรทุกน้ำนำน้ำไปเติม ยังถังน้ำกลางประจำหมู่บ้านและจุดแจกจ่ายน้ำตามวงรอบอย่างต่อเนื่อง กรณีเกิดความเสียหายด้านการเกษตร ประมง และปศุสัตว์ในพื้นที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ให้จำแนกความเสียหายตามประเภทและช่วยเหลือเยียวยาตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ โดยด่วน ที่สำคัญ ได้กำชับให้สร้างการรับรู้แก่ประชาชน โดยเฉพาะข้อมูลสถานการณ์น้ำ แผนการจัดสรรน้ำ มาตรการบริหารจัดการน้ำของภาครัฐ
“ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้น้ำ เพื่อมิให้เกิดปัญหาการแย่งน้ำ นอกจากนี้ ยังได้วางแผนการบริหารจัดการน้ำไว้ล่วงหน้า เน้นการกักเก็บน้ำจากปริมาณฝนในช่วง 1 – 2 เดือนข้างหน้า เพื่อสำรองน้ำ ให้เพียงพอต่อการใช้น้ำในปี 63 ก็ขอความร่วมมือให้ทุกภาคส่วนร่วมกันใช้น้ำอย่างประหยัด คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมากที่สุด เชื่อมั่นว่าความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจะทำให้มีน้ำใช้อย่างเพียงพอในทุกพื้นที่” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี