หลังการจัดตั้งรัฐบาลผสม ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา “รีเทิร์น” กลับมาเป็น “นายกรัฐมนตรี” เป็นครั้งที่ 2 ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีเลขาธิการเป็นข้าราชการ ระดับ 11 เป็นผู้รับผิดชอบ เป็นหน่วยที่ขึ้นตรงกับ “นายกรัฐมนตรี”มี “บริบท” ในด้านการ “พัฒนา” จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นด้านหลัก ได้รับความสนใจจากรัฐบาล อย่างมี “นัย” สำคัญ
โดยในวันที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีหลายกระทรวง รวมทั้งข้าราชการระดับสูงของกระทรวงต่างๆ เดินทางมายัง ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเป็นประธานในการเปิด “ศูนย์ราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้” ซึ่งในอดีตเป็นโรงแรม “ชางลี” ที่ถูกทิ้งร้าง กลางเมืองยะลา เพราะผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบ และความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ต่อมา ศอ.บต. ในยุคที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นเลขาธิการ ได้รับความเห็นชอบ จาก ครม. ให้ซื้อโรงแรมดังกล่าว มาเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยก่อนหน้าที่ คณะของนายกรัฐมนตรีจะเดินทางมาเยือน ศอ.บต. คณะของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็ได้เกี่ยวก้อย 2 รมช.ของพรรค ปชป. คือ รมช.คมนาคม นายถาวร เสนเนียม และรมช.มหาดไทย นายนิพนธ์ บุญญามณี พร้อมข้าราชการระดับสูงของ ทั้ง 3 กระทรวง มาเยือน ศอ.บต. เพื่อรับทราบการพัฒนาพื้นที่ของจังหวัดชายแดนภาคใต้มาแล้ว
การเดินทางมาเยือน “ดินแดนปลายด้ามขวาน” ของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เป็นการเดินทางมาเยือนในห้วงเวลาหลังการก่อวินาศกรรม ในกรุงเทพมหานคร จากฝีมือของ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนเพียง 4 วัน และในห้วงเวลาดังกล่าว เจ้าหน้าที่ ตำรวจ ทหาร ต่าง “สาระวน”อยู่กับการติดตาม จับกุม “แนวร่วม” ผู้ก่อเหตุในพื้นที่ 3 จังหวัด จึงถือว่าเป็นการเดินทางมาเยือนพื้นที่ “ปลายด้ามขวาน” ท่ามกลางสถานการณ์ที่เป็น “ของจริง” เพราะก่อนหน้าที่จะเดินทางมาถึง ในพื้นที่ 3 จังหวัด มีการวางระเบิด ตู้เอทีเอ็ม และสถานที่อื่นๆ หลายๆจุด พร้อมๆ กัน
แต่...“หมุดหมาย” ครั้งนี้ของ นายกรัฐมนตรี อยู่ที่การมาติดตามการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี“โฟกัส” สำคัญอยู่ที่ 3 จังหวัด เป็นด้านหลัก โดยมี พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหาร จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ และเอกชน เพื่อมาพบปะพูดคุย และรับฟังปัญหาในการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยสาระสำคัญ ที่พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้นำเรียนให้ทราบ เพื่อให้เห็นว่า ท่ามกลาง “ควันปืน” และ “ควันไฟ” ของการก่อความไม่สงบนั้น อีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นงานการพัฒนา ในพื้นที่ ได้มีการก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
นโยบาย “สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ซึ่งมีการเลือกพื้นที่ 1 อำเภอของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปเป็นร่างที่ชัดเจน ไม่ใช่เป็นการ “ขายฝัน” หรือเป็นนโยบายที่อยู่บนกระดาษ ที่ประชาชนจับต้องไม่ได้
เช่น เมืองต้นแบบ ที่ อ.เบตง จ.ยะลา ซึ่งเป็นเมืองต้นแบบการพัฒนาและพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน นั้น สนามบินที่กำลังก่อสร้างใกล้จะเสร็จ โดยในเดือนมกราคม ปี 2563 สนามบินแห่งนี้ จะมีการเปิดใช้อย่างเป็นทางการ แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ อาทิ บ่อน้ำร้อน, จุดชมวิวทะเลหมอก หมู่บ้านชาวจีนโบราณที่ ต.อัยเยอร์เวง กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ที่สามารถสร้างงาน และสร้างเงิน ให้คนในท้องถิ่น ทั้งกิจการ ค้า ขาย สินค้าพื้นเมือง อาหาร และโฮมสเตย์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุง เส้นทาง 410 (ยะลา-เบตง) ซึ่งมีความก้าวหน้า ตามลำดับ
ที่สำคัญ “เมืองต้นแบบ” การพัฒนาและพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน ที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี มีความก้าวหน้า ที่สามารถ “สร้างเงิน” และ “สร้างงาน” ให้กับคนในพื้นที่ ตั้งแต่เกษตรกร จนถึงแรงงานท้องถิ่น มีการลงทุนสร้างโรงงานแปรรูปน้ำมันมะพร้าว ที่มีกำลังผลิตวันละ 160,000 ลูก หรือปีละ 48 ล้านลูก มีโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์จากไม้ยางพารา และโรงงานผลิตเครื่องหนัง ที่กำลังจะเปิดดำเนินการในเร็วๆ นี้ และที่สำคัญ มีโรงงานแปรรูปทุเรียน ที่เปิดดำเนินการแล้ว ซึ่งทำให้เกษตรกรเจ้าของสวน และแรงงาน ในพื้นที่ ได้รับผลประโยชน์โดยตรง โดยโรงงานทั้งหมด เป็นทุนจากประเทศจีน
เช่นเดียวกับในการพัฒนาในส่วนของ จ.นราธิวาส ที่ได้เลือก อ.สุไหงโก-ลก เพราะเป็นเมืองชายแดน ที่เชื่อมต่อกับ รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ที่มีแผนในการพัฒนาให้เป็นเมืองธุรกิจการค้าชายแดน ขณะนี้มีการประชุมร่วมกับการรถไฟทั้งไทยและมาเลเซีย เพื่อเปิดการเดินรถไฟระหว่างประเทศ และการปรับปรุงสนามบินบ้านทอน จ.นราธิวาส ให้เป็นสนามบินมาตรฐาน เพื่อรองรับการเติบโตของการท่องเที่ยวและธุรกิจการค้าเมืองชายแดน
ในส่วนของ จ.สงขลา ได้มีการนำเสนอให้ อ.จะนะ จ.สงขลา เป็น “เมืองต้นแบบ” อุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต ซึ่งหลังจากที่ ครม.ได้อนุมัติในหลักการ เมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา ขณะนี้ ศอ.บต. อยู่ระหว่างการดำเนินการ นำเสนอแผนงานโครงการต่อประชาชน และฟังความเห็นจากประชาชนในพื้นที่ 3 ตำบล หากประชาชนเห็นด้วยกับการพัฒนา และพร้อมที่จะมีส่วนร่วม ก็จะเดินหน้าตามนโยบายของการพัฒนาเมืองต้นแบบในทันที
และที่ถือเป็น “ข่าวดี” กับคนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ เมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา ศอ.บต. ได้มีการลงนาม เอ็มโอยู กับบริษัทกลุ่มพลังงานระดับชาติกับประเทศเกาหลีใต้ ในโครงการปลูกไผ่เศรษฐกิจในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ดใช้กับการผลิตไฟฟ้า ซึ่งเป็นที่ต้องการของประเทศเกาหลีใต้ ซึ่ง ศอ.บต.ได้ทำการศึกษา ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ จนมั่นใจว่า จะเป็นแนวทางในการสร้างงาน สร้างเงิน และสร้างหลักประกันให้กับคนในพื้นที่ จากโครงการดังกล่าว
เนื่องจากในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีพื้นที่รกร้างที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์กว่า 300,000 ไร่ ซึ่งหากนำที่ดินดังกล่าวมา ปลูกไผ่เพื่อการผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ดเพื่อขายให้กับบริษัทจากประเทศเกาหลีที่มาลงทุนแล้ว เศษของต้นไผ่ กิ่งไผ่ ยังสามารถขายให้กับโรงงานไฟฟ้าชีวมวลในพื้นที่ ซึ่งในแผนพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ได้ร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ในอนาคต จะมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก ในพื้นที่ 3 จังหวัดไม่ต่ำกว่า 100 โรง เพื่อความมั่นคงของพลังงาน
ในด้านเกษตรพื้นฐานนั้น ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเกษตรกร มีปัญหาเรื่องผลผลิตยางพาราตกต่ำผลไม้ไม่มีราคา ศอ.บต. พร้อมด้วยหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ได้ปรับเปลี่ยให้เกษตรกร เลิกปลูกพืชเชิงเดียว โดยสนับสนุนให้ปลูกพืชหลายชนิด ที่ตลาดมีความต้องการ เช่น การปลูกกาแฟ ปลูกทุเรียน เลี้ยงสัตว์
สิ่งที่ ศอ.บต. คาดหวัง จากการเดินทางมาเยือนของ นายกรัฐมนตรี ในครั้งนี้ คือการให้ รัฐบาลให้การสนับสนุนโครงการต่างๆ ตามแผนพัฒนาที่ ศอ.บต.ได้ดำเนินการมา ก่อนที่จะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ได้ รับปากกับ ประชาชน จากทุกสาขาอาชีพ จำนวน 800 คน ในห้องประชุม ที่พร้อมจะสนับสนุนแผนพัฒนาให้สำเร็จ เพราะการพัฒนาคน พัฒนาอาชีพ พัฒนาพื้นที่ คืออาวุธในการแย่งชิงมวลชน และอาจนำแผ่นดิน “ปลายด้ามขวาน” ออกจากความ “ขัดแย้ง” และอาจจะเป็นหนทางในการ “ยุติ”การแบ่งแยกดินแดน ของขบวนการ บีอาร์เอ็น ที่ได้ผลกว่าการ ทุ่มงบประมาณ เป็น แสนๆ ล้าน ด้วยปฏิบัติการทางทหาร ที่ผ่านมา 15 ปีแล้ว แต่ยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แต่อย่างใด
ปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี