นายมหิทธิ์ วงศ์ษา หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ 2 สำนักบริหารโครงการ กรมชลประทาน กล่าวว่า ที่ผ่านมากรมชลประทานได้พยายามพัฒนาและส่งเสริมให้เกษตรกรมีน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูก โดยมีการวางแผนการเกษตร ร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตร และกรมพัฒนาที่ดิน ศึกษาลักษณะดิน ความเหมาะสมของชนิดพันธุ์พืช โดยที่กรมชลประทานได้สนับสนุนงบประมาณแก่กรมพัฒนาที่ดินและกรมส่งเสริมการเกษตร เกิดเป็นโครงการอบรมเกษตรกรเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่นเรื่องพันธุ์พืช เรื่องศัตรูพืช เรื่องปุ๋ย เป็นต้น
โดยปัจจุบันการทำเกษตรอินทรีย์กำลังเป็นกระแสหลักของกลุ่มคนรักสุขภาพ รวมทั้งเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริในหลวง รัชกาลที่ 9 กรมชลประทานได้นำมาเป็นแนวปฏิบัติการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ซึ่งในการประเมินครั้งล่าสุดในโครงการเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จ.พิษณุโลก พบว่าในแง่สังคม ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ดีขึ้น ปัจจุบันเกษตรกรมีรายได้มากขึ้น ใช้สารเคมีน้อยลง แม้แต่เมล็ดพันธุ์ที่ต้องซื้อก็ลดลง เพราะกรมชลประทานได้ไปทำแปลงทดลองเพื่อเพาะและเก็บเมล็ดพันธุ์ นอกจากนี้ เราได้ประเมินความคุ้มทุน เบื้องต้นพบว่ามีความคุ้มทุนค่อนข้างมาก
ทั้งนี้เนื่องจากประเทศไทยมีบทบาทสำคัญเสมอมาในฐานะผู้ผลิตอาหารและผลิตผลทางการเกษตร จนเปรียบได้ดั่งเป็น “ครัวของโลก” แม้ว่าตลอดหลายปีอุตสาหกรรมจะเข้ามาเป็นรายได้สำคัญมากขึ้น ทว่าหากพูดถึงความยั่งยืนเรื่องเกษตรกรรมอาจมาเป็นอันดับหนึ่ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี