วันอาทิตย์ ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2568
จ่อหมายจับแก๊งปล้นทองนาทวี
เปิดหน้า2โจรใต้
พบมีคดีความมั่นคงติดตัวอื้อ
คาดหาเงินหนุนขบวนการ
เชื่อแบ่งทรัพย์-แยกกันหนี
บางส่วนยังกบดานในพื้นที่
ผบช.ภ.9 เรียกประชุมทีมสืบสวนสอบสวนคดีปล้นร้านทอง อ.นาทวี จ.สงขลา ก่อนเสนอศาลออกหมายจับ เบื้องต้นคาดว่ามีอย่างน้อย 5 คน แยกกันหลบหนี ส่วนหนึ่งยังกบดานในพื้นที่ อ.นาทวี และ อ.จะนะ ส่วนทองที่ปล้นมีแนวโน้มถูกลักลอบนำออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน คาดต้องใช้เงินสนับสนุนขบวนการ เผยโฉมหน้าชัดๆ แล้ว 2 ราย
ความคืบหน้ากรณีกลุ่มคนร้ายบุกปล้นร้านทอง
“ห้างทองสุธาดา” กลางตลาดนาทวี อ.นาทวี จ.สงขลา เมื่อวันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม โดยได้ทองรูปพรรณน้ำหนัก 3,300 บาท มูลค่ากว่า 85 ล้านบาท พร้อมเครื่องเพชรและทองแท่งอีกจำนวนหนึ่ง และพากันหลบหนีไปนั้น
วันที่ 28 สิงหาคม ที่สถานีตำรวจภูธรหนองจิก จ.ปัตตานี พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 (ผบช.ภาค 9) เดินทางมาร่วมประชุมติดตามความคืบหน้าคดีดังกล่าว โดยมี พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี(ผบก.ภ.จว.ปัตตานี) พ.ต.อ.ประพัฒร์ ศรีอนันต์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา(รองผบก.ภ.จว.สงขลา) หัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวนทั้ง จ.ปัตตานี และ จ.สงขลา ได้รายงานผลความคืบหน้าของคดี โดยเฉพาะการสอบสวนพยานบุคคล รวมถึงนำผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์มาสรุปสำนวน เพื่อเสนอขออนุมัติศาลจังหวัดนาทวีออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้ เบื้องต้นคาดว่ามีอย่างน้อย 5 คน และแยกกันหลบหนี ส่วนหนึ่งยังคงกบดานอยู่ในพื้นที่ อ.นาทวี และ อ.จะนะ ส่วนทองที่ปล้นไป แนวโน้มถูกลักลอบนำออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านแล้ว
พล.ต.ท.รณศิลป์ กล่าวว่า ภายหลังเกิดเหตุชุดสืบสวนสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ จนรู้ตัวผู้ที่ร่วมก่อเหตุแล้ว 2 คนและกำลังเตรียมที่จะออกหมายจับ คือ นายแวอูเซ็ง ดือราเฮ็ง ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ป.วิอาญา คดีความมั่นคง จำนวน 3 คดี ในพื้นที่ จ.ปัตตานี ทั้งของ ปี 2561 จำนวน 2 หมาย และปี 2562 จำนวน 1 หมายและ นายไซฟูดดิน หะยีปูเต๊ะ มีหมายจับ ป.วิอาญาคดีความมั่นคง จำนวน 4 หมาย เป็นหมายจับของศาล จ.นาทวี เมื่อปี 2560 หมายจับศาล จ.สตูล เมื่อปี 2560 และ หมายจับของศาล จ.ปัตตานี ปี 2561 และ 2562
พล.ต.ท.รณศิลป์ กล่าวต่อว่า จากแนวทางการสืบสวนสอบสวนพยานหลักฐานจากนิติวิทยาศาสตร์ พบหลักฐานชี้ให้เห็นว่าเป็นกลุ่มขบวนการก่อความไม่สงบ แต่กลับมาก่อเหตุจี้ปล้นร้านทอง จากการวิเคราะห์ได้มองปัจจัยหลายๆ เรื่อง เพราะเห็นจากหลายๆ คดีที่ผ่านมา สถิติพบการก่อเหตุ เช่น การวางระเบิดตู้เอทีเอ็ม เป็นอีกคดีที่ชี้ให้เห็นว่ากลุ่มขบวนการทำการก่อเหตุเพื่อหวังนำเงินและไปทำอะไร ซึ่งทางการข่าวต้องทำการวิเคราะห์ รวมทั้งล่าสุดก่อเหตุปล้นร้านทองเช่นกัน ส่วนการติดตามทองที่ถูกปล้นไปว่าจะมีการนำไปหลอมขายแล้วนำเงินกลับมาสู่กลุ่มขบวนการ ซึ่งก็เป็นอีกเบาะแสหนึ่ง
ในส่วนของรูปแบบการก่อเหตุของกลุ่มคนร้ายในห้วงหลังที่ผ่านมา ได้มีการวิเคราะห์ว่า การก่อเหตุมีการพัฒนารูปแบบเป็นการปล้นทรัพย์เพื่อนำเงินสนับสนุนกลุ่มขบวนการหรือไม่นั้น พล.ต.ท.รณศิลป์ ระบุว่า มีการวิเคราะห์รูปแบบการก่อเหตุเหมือนกันว่า ขบวนการต้องการนำเงินไปทำอะไรหรือไม่สามารถควบคุมกลุ่มบางกลุ่มได้แล้ว หรือผลจากการประกาศใช้ชุดจรยุทธ์ควบคุมหมู่บ้านพื้นที่เป้าหมายของแม่ทัพภาค 4 ส่งผลให้มีการกดดันกลุ่มแนวร่วมออกนอกพื้นที่เป็นจำนวนมาก จนทำมีการรวมกลุ่มและไม่รู้จะทำอะไรจึงชวนกันก่อเหตุปล้นขึ้นมา
ขณะที่ พล.ต.ปิยพงษ์ วงศ์จันทร์ ผบ.ฉก.ปัตตานี กล่าวว่า หลังฝ่ายตำรวจมีการสืบสวนสอบสวนพบเบาะแสประเด็นสาเหตุของการปล้นร้านทอง ซึ่งมีกลุ่มขบวนการเข้าไปเกี่ยวข้องจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบหาเงินสนับสนุนขบวนการหรือไม่นั้น ฝ่ายกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค4สน.) จึงได้มีคำสั่งปรับรูปแบบกำลังพลเข้ามาร่วมทำงานประสานกับฝ่ายตำรวจ และปกครอง เพื่อดำเนินการเคลียร์พื้นที่ให้ปลอดภัย โดยเฉพาะ 4 อำเภอของ จ.สงขลา กลายเป็นพื้นที่หลบหนีและซ่องสุม และพื้นที่เองไม่มีกฎหมายบังคับใช้รับรอง จึงกลายเป็นแหล่งพังพิงของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงได้ ดังนั้นการปรับแผนจึงต้องดึงกำลังภาคประชาชนเข้ามาร่วมในการดูแลควบคุมพื้นที่ต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี