เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2562 เวลาประมาณ 09.00 น. กลุ่มผู้ค้าหาบเร่แผงลอยบริเวณถนนเพชรบุรี (ใกล้จุดเชื่อมกับถนนวิทยุ) กรุงเทพฯ ชุมนุมประท้วงจากกรณีที่เขตราชเทวียกเลิกการอนุญาตให้ขายของบนทางเท้า ตามนโยบายของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่ยกเลิกจุดผ่อนผันทั่วกรุงเทพฯ อันสืบเนื่องมาจากนโยบายจัดระเบียบสังคมในยุครัฐบาลทหาร โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
โดยน.ส.วรัญญา ขาวสะอาด หนึ่งในแกนนำผู้ประท้วง เล่าว่า บริเวณนี้มีการทำการค้าแบบหาบเร่แผงลอยมานานกว่า 10 ปี ผู้ค้าส่วนใหญ่เป็นคนในละแวกชุมชนมักกะสัน แต่ยอมรับว่าหลายคนเข้ามาพักอาศัยที่นี่โดยไม่ได้ย้ายทะเบียนบ้านจากภูมิลำเนาเดิมมาด้วย ที่ผ่านมาขายของเป็นปกติดีโดยผู้ค้าจะจัดแผงค้ายาวเป็นแนวเดียวและเสมอกันไม่ได้ตั้งแบบเกะกะกีดขวางทางเท้าแต่อย่างใด อีกทั้งจะมีเวลาขายเพียง 06.00-10.00 น. โดยประมาณในวันจันทร์-ศุกร์ เท่านั้น เพราะเป็นช่วงที่มีลูกค้า
กระทั่งหลังปี 2557 เป็นต้นมา รัฐบาลและ กทม. มีนโยบายยกเลิกจุดผ่อนผันหาบเร่แผงลอยทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งหลายเขตทยอยถูกยกเลิกอย่างต่อเนื่อง จนในปี 2561 ก็ถึงคิวของบริเวณนี้ที่อยู่ในความดูแลของสำนักงานเขตราชเทวี ที่ผ่านมาทางเขตพยายามอะลุ้มอล่วยให้ผู้ค้ายังสามารถทำการค้าได้ครั้งละ 1-2 เดือน และต่ออายุมาเรื่อยๆ จนล่าสุดทางเขตยืนยันว่าไม่สามารถผ่อนปรนให้อีกแล้ว และพวกตนไม่สามารถสู้ค่าเช่าล็อกขายของในตลาดได้เพราะตกอยู่ที่เดือนละ 1 หมื่นบาท ส่วนพื้นที่ที่ทางเขตบอกว่าจะจัดหาให้ก็ยังไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน และทำเลเหมาะสมหรือเปล่า
“เราเคยประสานไปทางสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกฯ เขาก็เห็นใจผู้ค้า ก็ให้ไปขอทางเขต พอเราเข้าไปที่เขตทางเขตก็แจ้งว่ามันเป็นนโยบายของ กทม. เขาให้เราไปทาง กทม. แต่พอเราไปที่ กทม. เขาก็บอกว่าแต่ละพื้นที่มันไม่เท่ากัน อาจจะขอผ่อนผันได้ ก็ให้เรากลับไปที่เขตใหม่ พอเราวนไปวนมาอยู่อย่างนี้ เขาก็แจ้งว่าเราต้องไปคุยกับคนที่ออกนโยบาย แต่พวกเราเป็นกลุ่มคนรากหญ้าตัวเล็กๆ ไม่ใช่จะไปเปิดประตูแล้วจะคุยกับเขาได้ เคยพยายามขอพบผู้ว่าฯ กทม. เขาก็บอกอย่างเดียวว่าท่านติดธุระบ้าง ไม่ว่างบ้าง” น.ส.วรัญญา กล่าว
ด้านนายปรีชา ไทยสงเคราะห์ แกนนำเครือข่ายแผงลอยไทยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน กล่าวว่า ในเมื่อผู้ค้าบริเวณนี้ค้าขายเพียง 4 ชั่วโมงต่อวันโดยประมาณ คือ 06.00-10.00 น. ก็น่าจะผ่อนผันให้ค้าขายกันไปก่อน ตนเข้าใจเรื่องการจัดระเบียบ แต่อยากถามผู้บริหาร กทม. ว่าอยากให้กรุงเทพฯ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สวยงามแต่ไร้ซึ่งชีวิตหรือ ดังนั้นต้องมาคิดกันว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้คนทุกกลุ่มสามารถอยู่ร่วมกันได้
ทั้งนี้ปัจจุบันอินโดนีเซีย หรืออีกหลายประเทศที่ใกล้เคียงกับไทย ต่างพยายามรักษาอาหารข้างทาง หรือ “สตรีทฟู้ด (Street Food)” ไว้ให้เป็นแหล่งอาหารราคาประหยัดและแหล่งอาชีพของคนในเมือง และแม้ผู้ค้าจะไม่ใช่คนในพื้นที่ เช่น เป็นคนจากภาคอีสาน แต่วันนี้ชาวอีสานกำลังประสบความเดือดร้อนจากอุทกภัย ดังนั้นน่าจะช่วยบรรเทาผลกระทบกันไปก่อน นอกจากนี้ตนอยากฝากไปถึงกลุ่มคนที่ออกมาโจมตีผู้ค้าหรือใครก็ตามที่เห็นใจผู้ค้าหาบเร่แผงลอย ว่าอยากให้มาคุยกันว่าจะเอาอย่างไร ผู้ค้าเข้าใจเรื่องการจัดระเบียบแต่ก็ต้องการพื้นที่ทำมาหากินด้วย
“เราก็คือคนไทยซึ่งมีเกียรติมีศักดิ์ศรีเหมือนกัน อยากให้พวกเราอดตายหรือ อยากให้พวกเรามาอารยะขัดขืนหรือ คนที่ไปเช่าที่ได้พวกนั้นเขามีทุน คือผู้ค้ามีพื้นที่ทำมาหากินคนละนิดก็โอเค ร้านสะดวกซื้อเปิดทั่วไปหมดแม้กระทั่งในหมู่บ้านเงียบๆ ก็ยังเปิด ก็กระทบร้านโชห่วย มันมีผลกระทบไปหมด ขอให้พวกเราได้มีพื้นที่ทำกิน แค่นี้ก็อยู่ได้ ไม่เป็นภาระของสังคมและรัฐบาล” นายปรีชา กล่าว
ขณะที่นายเรวัตร ชอบธรรม ประธานเครือข่ายแผงลอยไทยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ตั้งข้อสังเกตว่า ทางเท้าบริเวณนี้มีขนาด 4.6 เมตร ถือว่าค่อนข้างกว้างเพราะผู้ค้าใช้พื้นที่เพียง 1 เมตรในการตั้งแผง ยังเหลือพื้นที่สัญจรถึง 3.6 เมตร แต่เหตุใดต้องยกเลิกการอนุญาตให้ค้าขาย ซึ่งคงไม่ผิดหากจุดนี้จะใช้คำว่าเป็นตลาดชุมชน เพราะผู้ค้าก็เป็นผู้พักอาศัยในพื้นที่ และลูกค้าก็เป็นคนทำงานในละแวกดังกล่าว
โดยก่อนหน้านี้เคยสำรวจความคิดเห็นเจาะกลุ่มตัวอย่าง 500 คนในพื้นที่ พบว่าส่วนใหญ่เห็นประโยชน์ของการมีตลาดชุมชน หากยกเลิกไปค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็จะเพิ่มขึ้น ส่วนข้อโจมตีประเภทผู้ค้าไม่ใช่คนในพื้นที่ ตนขอย้ำว่าแม้ไม่ใช่คนในพื้นที่แต่คนเหล่านี้ก็เข้ามาเป็นกำลังในการพัฒนาเมือง ไม่ว่าจะในฐานะผู้ค้าที่เป็นครัวของเมือง หรือในฐานะผู้ซื้อที่ส่วนใหญ่ก็คือคนทำงานในเมืองที่มีรายได้ไม่มาก เฉลี่ยไม่เกิน 3 หมื่นบาทต่อเดือน การมีอาหารข้างทางคือการพยุงค่าครองชีพไม่ให้สูงขึ้น
“คนพวกนี้เป็นคนที่ขยันและอดทน ถึงแม้จะใช้พื้นที่สาธารณะแต่เราจัดระเบียบเขาได้ ให้อยู่ในกฎว่าเขาควรจะทำอย่างไร ส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วย ผู้ที่บอกว่าคนที่ใช้พื้นที่สาธารณะคือการเอาเปรียบสังคม เราต้องมาพูดคุยกันว่าจุดตรงกลางมันคืออะไร ต้องการให้ทำแบบไหน เราชี้แจงได้และพร้อมที่จะชี้แจง และจริงๆ เราก็อยากคุยกันว่าตรงกลางมันคืออะไร ทำอย่างไรเราถึงจะอยู่ร่วมกันได้” นายเรวัตร กล่าว
อนึ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อ 7 ธ.ค. 2561 เฟซบุ๊กแฟนเพจ “หาบเร่แผงลอยกทม. ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้” ซึ่งเป็นเพจของเครือข่ายแผงลอยไทยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โพสต์ข้อความถามหาธรรมาภิบาลจาก พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. กรณีปฏิเสธไม่ยอมทำตามข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทย (มท.) ที่ขอให้ กทม. บรรเทาผลกระทบของผู้ค้าหาบเร่แผงลอยด้วยการอนุโลมให้ทำการค้า ณ จุดผ่อนผันเดิมบนทางเท้าต่างๆ ที่ถูก กทม.ยกเลิกไปก่อนจะได้ข้อสรุปร่วมกันในการประชุมร่วมของตัวแทนผู้ค้าและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 25-26 ก.ค. 2562 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้บรรจุเรื่องความเดือดร้อนของผู้ค้าหาบเร่แผงลอยที่ถูกจัดระเบียบไว้ด้วยในนโยบายเร่งด่วน 12 ข้อ แต่จนปัจจุบันทาง กทม. ก็ยังมีนโยบายไล่ยกเลิกการค้าขายบนทางเท้าและพื้นที่สาธารณะอื่นๆ ต่อไป โดยมีรายงานว่า แม้แต่ตลาดสำเพ็งอันเป็นพื้นที่ค้าขายเก่าแก่คู่ กทม. จะเป็นพื้นที่ถัดไปที่ถูกยกเลิกการอนุญาตให้มีผู้ค้า
คลิกย้อนอ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง ... ผู้ว่าฯเมืองหลวงอิเหนาประกาศส่งเสริม‘หาบเร่แผงลอย’ชี้ช่วยพัฒนาเมือง-หลายประเทศก็ทำ
... 'เครือข่ายแผงลอย'จี้รัฐทบทวนนโยบายจัดระเบียบแบบกวาดล้าง หลัง'ครม.บิ๊กตู่2'ไฟเขียว
... ชาวแผงลอยถามหาธรรมาภิบาล'อัศวิน' หลังไม่ทำตามข้อเสนอมท.อนุโลมค้าขายบนทางเท้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี