“อธิบดีกรมชลฯรุดลงพื้นที่ลุยแก้อุทกภัยภาคอีสาน ระดมสรรพกำลังกู้วิกฤติ เร่งเคลียร์น้ำท่วม8 จว. 2.3 พันล้านลบ.ม. ให้หมดภายในเดือนนี้ เตือนชาวอุบลฯรับมวลน้ำสูงสุด 13 ก.ย.นี้ อ.วารินทรชำราบ ท่วมสูง 3.80 ม.ใกล้เคียงปี54 พร้อมจับตาพายุจ่อก่อตัวอีกลูกในมหาสมุทร”
เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2562 ที่ศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะน้ำ กรมชลประทาน นายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน แถลงถึงแนวทางแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคอีสาน ว่าจะเปิดศูนย์บัญชาการบริหารน้ำมูล-ชี ส่วนหน้าที่สำนักชลประทาน7 อุบลราชธานี ในวันที่14 ก.ย.นี้ หลังจากที่นายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่ดูสภาพน้ำท่วมระหว่างนั่งเครื่องบินลงมา ได้สั่งการให้กรมชลประทาน เร่งดำเนินการบริหารจัดการน้ำให้คลี่คลายเร็วที่สุด
อีกทั้งนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ ได้กำชับให้กรมชลฯทำทุกวิธีทางเคลียร์น้ำออกจากพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตปกติโดยเร็ว และหน่วยงานเร่งสำรวจความเสียพื้นที่เกษตร ฟื้นฟูอาชีพ หาแนวทางเสริมรายได้ให้เกษตรกร ซึ่งตนจะลงไปบริหารจัดการน้ำด้วยตนเอง เนื่องจากการประเมินมีปริมาณน้ำค้างทุ่ง 1.6 พันล้านลบ.ม. จากปริมาณน้ำทั้งหมดถ้าร่วมที่ท่วมในพื้นที่ภาคอีสาน มีน้ำรวม 2.3 พันล้านลบ.ม. ซึ่งเกิดจากอิทธิพล พายุ โพดุล และคาจิกิ รวมแล้ว ตั้งแต่วันที่ 27 ส.ค.ถึงปัจจุบัน มีน้ำท่วมพื้นที่ 1.5 ล้านไร่ 80 อำเภอ 8 จังหวัด ได้แก่ จ.กาฬสินธุ์ ยโสธร ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ มุกดาหาร อุบลราชธานีและมหาสารคาม
ซึ่งเดิมคาดว่าปริมาณน้ำก้อนใหญ่ ไหลลงสู่สถานี M7 สะพานประชาธิปไตย จ.อุบลราชธานี ก่อนลงแม่น้ำโขง ในคืนที่ 11ก.ย.ที่ผ่านมา ที่ระดับ 15.5 เมตร รทก.หรือระดับน้ำสูงกว่าตลิ่ง 3.70-3.80 เมตร และเนื่องจากมีฝนตกมาเพิ่มในพื้นที่ทำให้มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นเป็น 15.7 เมตร.รทก.ที่สถานี M7 ใกล้เคียงกับปี 2545 ประกอบกับขณะนี้ระดับน้ำโขง ยังต่ำกว่าตลิ่งประมาณ 1.6 เมตร ดังนั้นกรมชลประทาน ได้ระดมเครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำไปตั้งตลอดแนว ที่ ปากมูล แก่งสะพือ เพื่อผลักดันน้ำลงแม่น้ำโขงให้เร็วที่สุด รวม 160 เครื่อง และกาลักน้ำ 34ชุด จึงคาดว่าสถานการณ์น้ำจะมีระดับน้ำเข้าสู่ภาวะปกติภายในสิ้นเดือนนี้ และประชาชนสามารถกลับเข้าบ้านเรือนได้ในช่วง 18-19 ก.ย.นี้ ถ้าไม่มีฝนมาตกเพิ่มในพื้นที่
“โดยปริมาณน้ำ1.6พันล้านลบ.ม.เป็นน้ำที่อยู่ในทุ่งพื้นที่จ.ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ ประมาณ 346ล้านลบ.ม.อยู่ในพื้นที่ลำเสียวใหญ่ 35ล้านลบ.ม.และอยู่ในพื้นที่อ.ธาตุน้อย เซบาย เซบก อีกประมาณ1.1พันล้านลบ.ม.ซึ่งน้ำจากลำน้ำชี และที่ลำเสียวใหญ่ จะไหลมาที่สถานีM7ทั้งหมดเช่นกันในช่วงวันที่13ก.ย.นี้ จะเป็นน้ำระดับสูงสุด ส่งผลให้ระดับน้ำอยู่ที่15.8เมตร รกท.หรือ10.8เมตร รสก.ระดับท้องน้ำสูงจากตลิ่งประมาณ3เมตรกว่า ส่งผลให้พื้นที่จ.อุบลราชธานี ฝั่งขวา อ.วารินทรชำราบ ได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่ฝั่งอ.เมืองอุบลราชธานี จะไม่ได้รับผลกระทบเนื่องพื้นที่ตลิ่งสูงกว่า ทั้งนี้เมื่อระดับน้ำเข้าสู่ภาวะปกติ กรมชลฯจะเก็บน้ำเข้าแก้มลิงธรรมชาติ สองลุ่มน้ำ หรือพื้นที่การเกษตรของประชาชนที่มีร้องขอเข้ามาเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งที่จะถึงนี้ นอกจากนี้ประชุมร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา รายงานว่าพบการก่อตัวของในมหาสมุทร แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่าจะจะก่อตัวเป็นพายุหรือไม่” นายทองเปลว
นายทองเปลว กล่าวว่า ขณะนี้สำหรับการบริหารน้ำใน 2 ลำน้ำ ชีและมูล ได้สั่งการให้สำนักชลประทาน จัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ท้ายน้ำ ซึ่งในลำน้ำชี ได้ชะลอน้ำจากแม่น้ำชีตอนบน ที่เขื่อนมหาสารคาม และควบคุมการระบายน้ำจากอ่างขนาดใหญ่ กลาง เล็ก 23แห่ง เพื่อปรับอัตราระบายน้ำให้เหลือวันละ 36 ล้านลบ.ม. โดยในลำน้ำมูล ได้ลดการระบายน้ำจากอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ กลาง เล็ก รวม 57 แห่ง และชะลอน้ำในลำเซบาย และลำโดมใหญ่ พร้อมกับลำน้ำสาขาอื่นๆเพื่อลดน้ำไปสมทบกันที่ท้ายน้ำ
อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า พร้อมกันนี้ได้กำชับผ่านวีดีโอคอนเฟอร์เรนท์ไปทุกสำนักชลประทาน ในพื้นที่ขอให้ช่วยกันอย่างเต็มที่เพื่อให้ประชาชนผ่านพ้นวิกฤติ จะลดความเดือดร้อนได้เร็ว และให้สลับเวรยามกันดูแลเครื่องมือพร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา เมื่อน้ำลดแล้วข้าราชการกรมชลประทาน ซึ่งเป็นจิตอาสาชลประทาน จะเข้าช่วยฟื้นฟูที่อยู่อาศัยและทำความสะอาดบ้านเรือนให้ประชาชน สามารถเข้าอยู่ทันทีหลังน้ำลด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี