วันอังคาร ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2568
วันที่ 30 กันยายน 2562 เวลา 09.40 น. ที่ สภ.ไทรโยค อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.)เดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์มาเปิดปฏิบัติการทวงคืนผืนป่า อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นการปฏิบัติราชการวันสุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการ พร้อมเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุม เพื่อนำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบเหมืองแร่ 2 แห่ง และไร่ข้าวโพด 1 แห่ง
การประชุมครั้งนี้ พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช รอง ผบช.ส., พล.ต.ต.ณัฐแก้ว เมตตามิตรพงศ์ ผบก.ประจำ สง.ผบ.ตร., พล.ต.ต.กษณะ แจ่มสว่าง รอง ผบช.ภ.7, พ.ต.อ.ชวลิต สุขสุวรรณ์ รอง ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ บก.ปทส.และกำลังเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงาน เช่น เจ้าหน้าที่ป่าไม้ จากสำนักจัดการป่าไม้ที่ 10 จาก ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด ศูนย์ป่าไม้จังหวัดกาญจนบุรี เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัดกาญจนบุรี ฝ่ายปกครองอำเภอไทรโยค เจ้าหน้าที่ตำรวจจาก ตชด.ที่ 13 ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจ ภ.จว.กาญจนบุรี เจ้าหน้าที่ กอ.รมน.และชุด EOD รวมทั้งผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ เข้าร่วมประชุม
โดยก่อนหน้านี้คณะกำลังเจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยงาน ได้แบ่งกำลังออกเป็น 3 ชุด ชุดแรกเข้าตรวจสอบภายในบริเวณ หจก.เพชรมงคล เหมืองแร่ เลขที่ 122 หมู่ 4 ต.ศรีมงคล ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้นำหมายค้นศาลจังหวัดกาญจนบุรีที่ มค.499/2562 เข้าตรวจค้น โดย หจก.เพชรมงคลเหมืองแร่ เป็นโรงแต่งแร่ใบอนุญาต ที่7/2553 บนเนื้อที่ 49-2-1 ไร่
.jpg)
ชุดที่สองนำหมายค้นศาลจังหวัดกาญจนบุรีที่ มค.500/2562 เข้าตรวจค้น ภายในบริษัท ปฐมวัฒนพานิชย์การแร่ จำกัด หมู่ 4 ต.ศรีมงคล ประทานบัตรเลขที่ 32650/16109 เนื้อที่ 186-0-79 ไร่ (หมดอายุ 9 ก.ย.2554)ประทานบัตรเลขที่ 32648/16108 เนื้อที่ 31-0-81 ไร่ (หมดอายุ 9 ก.ย.2564)
และชุดที่สามเข้าตรวจสอบไร่ข้าวโพด รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างที่เป็นบ้านพักหลังขนาดเล็ก ลักษณะสร้างติดต่อกันคล้ายที่จัดสรร ที่อยู่ริมถนนฝั่งตรงข้ามกับไร่ข้าวโพด จำนวน 12 หลัง เนื้อที่ 10 ไร่ 2 งาน ซึ่งจุดที่สาม ไม่ต้องมีหมายค้นเนื่องจากไม่มีรั้วรอบขอบชิด และจากการตรวจสอบพบว่าพื้นที่ที่จะเข้าตรวจสอบทั้ง 3 แห่งนั้น อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าวังใหญ่และป่าแม่น้ำน้อย ท้องที่ หมู่ 4 ต.ศรีมงคล อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากคณะของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิหพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.ประชุมแล้วเสร็จ ในช่วงเวลา 13.00 น.จึงได้เดินทางลงพื้นที่ไปตรวจสอบเหมืองแร่ โรงแต่งแร่ และไร่ข้าวโพด รวมทั้งบ้านพัก ด้วยตนเอง โดยแต่ละจุดต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะไปถึง เหมืองแร่ และโรงแต่งแร่ เนื่องจากต้องนำรถยนต์วิ่งไปตามไหล่เขาที่คับแคบและสูงชัน อีกทั้งถนนเป็นดินลูกรังและโคลน จึงต้องขับรถยนต์ด้วยความระมัดระวังเป็นกรณีพิเศษ
งนี้สืบเนื่องจากเมื่อประมาณกลางเดือนกันยายน ที่ผ่านมา ได้มีนักการเมืองท้องถิ่น ร้องเรียนไปยัง พล.ต.อ.ศรีวราห์ ว่า มีการลักลอบตัดไม้ไผ่ ไม้รวก บุกรุกพื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และขุดแร่ เก็บแร่ โดยไม่ได้รับอนุญาต ในเขต อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี จึงได้สั่งการให้ บก.ปทส.ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สืบสวนตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่มีผู้ร้อง ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ามีการกระทำความผิดจริง โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1.พบการลักลอบตัดไม้ ประเภทไม้ไผ่ ไม้รวก ประมาณ 500 ต้น/ลำ บริเวณป่าสงวนแห่งชาติป่าวังใหญ่และป่าแม่น้ำน้อย หมู่ 4 ต.ศรีมงคล อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี จึงได้ทำการตรวจยึดเป็นของกลาง นำส่ง พงส.สภ.ไทรโยค ดำเนินคดี ตามคดีที่ 358/2562 ลงวันที่ 28 ก.ย.2552
.jpg)
ซึ่งบริเวณที่เกิดเหตุในคดีนี้อยู่ใกล้เคียงกับพื้นที่ประทานบัตรเหมืองแร่ของบริษัทแห่งหนึ่งตามที่มีการร้องเรียนว่าในเขตประทานบัตรก็มีการลักลอบตัดไม้เช่นเดียวกัน จึงได้ทำการขยายผลเพื่อเข้าตรวจสอบในพื้นที่ประทานบัตรและการดำเนินการทำเหมืองของบริษัทฯ ตลอดจนการได้รับอนุญาตจากหน่วยงานต่างๆ ว่าถูกต้องหรือไม่
2.ตรวจพบว่า มีสถานที่เก็บแร่แห่งหนึ่ง มีการปิดกั้นทางสาธารณะที่ประชาชนสัญจร จากการสืบสวนตรวจสอบพื้นที่และสอบถามบุคคลที่ทราบเรื่องพื้นที่ดังกล่าวเป็นอย่างดี โดยเหมื่องมี เจ๊แหม่ม เป็นเจ้าของได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าวังใหญ่และป่าแม่น้ำน้อย บริเวณพื้นที่เหมืองแร่ ด้านหน้าทางเข้าจะมีประตูเหล็กติดลวดหนาม ใส่กุญแจ ด้านในมองเห็นมีป้อมยาม
จากการสอบถาม นายชะลอ ประทีป นายก อบต.ศรีมงคล ที่ร่วมเดินทางไปตรวจสอบพื้นที่บริเวณใกล้เคียง พบว่า ประตูที่ปิดล็อคทางเข้าเหมืองแร่เพชรมงคล เป็นพื้นที่ทางเดินสาธารณะที่ชาวบ้านเคยใช้ เดินทางไปมา ระหว่างบ้านบ้องตี้กับบ้านศรีมงคล
ซึ่งจากการสอบถามผู้รู้คนหนึ่ง ได้ความว่า เหมืองแร่ดังกล่าว ประทานบัตรหมดอายุไปประมาณ 10 ปีเศษ ปัจจุบันมี เจ๊แหม่ม ขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ แต่งแร่ และขออนุญาตครอบครองแร่ ในพื้นที่ประมาณ 49 ไร่
แต่ปรากฏว่า เจ๊แหม่ม ได้ใช้แร่ที่เหลือจากการขุดสัมปทานตามที่ขออนุญาตหมดไปแล้ว ได้ใช้เครื่องมือขุดแร่ตามลำห้วย บริเวณพื้นที่ป่าสงวน บริเวณพื้นที่ทั่วๆ ไป จนเป็นหลุมเป็นบ่อจำนวนมาก นำขึ้นมาเข้าโรงแต่งแร่ และขายไปเป็นจำนวนมาก เมื่อแร่ที่ขุดขึ้นมาหมด ก็จะขุดขึ้นมาใหม่ เป็นอย่างนี้ตลอด
รวมทั้งตัดไม้บุกรุกพื้นที่ป่าสงวนจำนวนนับร้อยไร่ ซึ่งผู้รู้ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ เจ๊แหม่ม จึงได้ลาออกมาประมาณ 2 ปีเศษ นอกจากนี้ผู้รู้คันดังกล่าว ยังให้การอีกว่า เจ๊แหม่ม ได้สั่งให้คนงานขยายแนวเขตพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตแต่งแร่ออกไปอีก
.jpg)
โดยการปักแนวเขตพื้นที่ที่ขออนุญาตแต่งแร่ใหม่ รวมทั้งสร้างบ้านพักในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าวังใหญ่และป่าแม่น้ำน้อย อีกประมาณ 12 หลัง และจากการตรวจสอบพื้นที่ด้านหลังเหมืองแร่ โดยการส่องกล้องทางไกล พบว่า บริเวณด้านในเหมือง มีบ้านพักคนงาน กองแร่ โรงแต่งแร่ หลักเขต บ้านพักแบบโฮมสเตย์
จะเห็นได้ว่า การกระทำของเจ๊แหม่ม ผู้ครอบครองพื้นที่ มีการขุดแร่ โดยไม่ได้รับประทานบัตร มีการบุกรุกที่ป่าสงวนแห่งชาติโดยการตัดต้นไม้ขาย รวมทั้งปลูกสิ่งปลูกสร้างในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติเป็นจำนวนมาก
โดยเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด อันเป็นการกระทำผิดกฎหมายหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ.แร่ พ.ศ.2560, พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507, พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484, ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497, พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบริษัทดังกล่าวรวมทั้งไร่ข้าวโพด ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ ซึ่ง พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิหพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.ระบุในเบื้องต้น พื้นที่ทั้ง 3 จุดทำให้รัฐเสียหายรวมกันประมาณ 15 ล้านบาท
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี