นักวิชาการ ชี้นโยบายรัฐยุค‘คสช’ลบแผงลอย แหล่งอาหารคนเมือง-เหลือสตรีทฟูดเพื่อนักท่องเที่ยว
เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2562 น.ส. ปาริษา มูสิกะคามะ อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต บรรยายในหัวข้อ “แผงลอย : เรื่องราวสุดคลาสสิกของนักพัฒนาเมือง” ณ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยตอนหนึ่งระบุว่า หาบเร่แผงลอยได้วิวัฒนาการจากยุคอาชีพของคนยากจนที่ทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดในชนบทเข้ามาแสวงหาโอกาสในเมือง สู่ยุคที่ผู้ค้ามีทั้งคนยากจนและคนชั้นกลาง เมื่อครั้งเกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี 2540 ซึ่งทำให้คนชั้นกลางที่เป็นพนักงานออฟฟิศต้องตกงาน และที่เป็นเจ้าของธุรกิจต้องปิดกิจการไปเป็นจำนวนมาก
และยุคล่าสุดคือในปัจจุบัน เมื่อภาครัฐเริ่มเห็นว่า หาบเร่แผงลอยกลายเป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยว จึงนำไปสู่การเน้นส่งเสริมเฉพาะ “สตรีทฟู้ด (Street Food)” หรืออาหารริมทางซึ่งมีชื่อเสียงมาก โดยตัดคำว่า หาบเร่แผงลอยออกไป ทำให้ภาพลักษณ์ของหาบเร่แผงลอยจากที่เคยขายสินค้าหลากหลายเพื่อเน้นตอบสนองความต้องการของผู้คนที่ใช้ชีวิตในแต่ละย่านเปลี่ยนไป
เช่น เหลือเพียงถนนเยาวราช และถนนข้าวสารที่ยังอยู่รอดไม่ถูกห้ามขาย เหมือนพื้นที่อื่นๆ ทั่วกรุงเทพมหานคร (กทม.) หรือการส่งเสริม “ฟู้ดทรัค (Food Truck)” รถขายอาหารที่ดูสวยงาม เป็นต้น นโยบายเหล่านี้ผุดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว และถูกผลักดันให้ออกมาจริงจังมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น (CNN) สหรัฐอเมริกา เสนอข่าวว่า กรุงเทพฯ คือ เมืองที่มีอาหารริมทางที่ดีที่สุดในโลก
น.ส.ปาริษา อธิบายเพิ่มเติมในประเด็นความสำคัญของหาบเร่แผงลอยกับชีวิตในเมืองว่า ตามหลักคิดแบบโครงสร้างนิยม (Structuralism) เศรษฐกิจในระบบ (Formal Economy) กับเศรษฐกิจนอกระบบ (Informal Economy) มีความเชื่อมโยงแบบพึ่งพาอาศัยกัน เช่น เมื่อผู้ประกอบการตั้งโรงงาน รับสมัครบุคคลเข้ามาทำงานเป็นลูกจ้าง แต่ลูกจ้างหรือแรงงานเหล่านี้ก็มีข้อจำกัด
.
อาทิ รายได้ไม่เพียงพอที่จะเข้าไปรับประทานอาหารในร้านอาหารได้บ่อยๆ จึงต้องพึงพาอาหารริมทางแบบหาบเร่แผงลอยที่ราคาถูกกว่า ดังนั้นการมีอยู่ของหาบเร่แผงลอยจึงทำให้แรงงานที่มีรายได้ไม่มากนักเหล่านี้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ต้นทุนค่าครองชีพลดต่ำลง ทำให้ยังสามารถอยู่ทำงานต่อไปได้ เมื่อแรงงานยังทำงานอยู่ ผู้ประกอบการเจ้าของโรงงานก็ได้ผลผลิตจากกำลังของบรรดาลูกจ้างด้วย
“นโยบายรัฐในยุค คสช. (รัฐบาลทหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พ.ค.2557-ก.ค.2562) แบนการค้าหาบเร่แผงลอยเกือบทุกชนิด ยกเว้นไว้ แต่หาบเร่แผงลอยที่ตอบสนองนโยบายการท่องเที่ยว มันแปลว่า รัฐเลือกให้ความสำคัญกับนโยบายเศรษฐกิจมากกว่านโยบายสังคม รัฐให้ความสำคัญกับรายได้ของการท่องเที่ยว มากกว่าสวัสดิการของประชาชนทั่วไป ที่รัฐไม่สามารถจัดให้ได้” น.ส.ปาริษา ระบุ
ขณะที่ นายอดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบสภาพแวดล้อมของเมือง ศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (UDDC) กล่าวเสริมว่า อยากให้สื่อสารให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า “หาบเร่แผงลอยไม่เท่ากับสตรีทฟู้ด” ที่ผ่านมาสื่อมักใช้คำว่าสตรีทฟู้ดในการนำเสนอ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วอาจเป็นคนละกลุ่มกัน กล่าวคือ คำว่าหาบเร่แผงลอยจะตีความรวมถึงผู้ค้าที่เป็นชนชั้นล่างด้วย ส่วนคำว่าสตรีทฟู้ด จะยึดโยงเฉพาะเพียงพื้นที่บางแห่งหรือกิจกรรมบางอย่างเท่านั้น
“สิ่งที่เราขับเคลื่อนคือเราไม่ได้ไปช่วยหาบเร่แผงลอยหรือสตรีทฟู้ด เพราะบางคนอาจรวยกว่าเราก็ได้ แต่เราขับเคลื่อนในฐานะที่เมืองเป็นอินคลูซีฟ (Inclusive) ถ้าบอกว่า เป็นเมืองแห่งโอกาสและความหลากหลาย ฉะนั้นเมืองมันต้องโอบอุ้ม ไม่ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมันต้องทำให้เขาสามารถอยู่อาศัยได้ และได้รับประโยชน์จากเขาด้วย ไม่ว่า จะเป็นมาตรการทางภาษีและอื่นๆ” นายอดิศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้มีรายงานข่าวเมื่อ 4 ต.ค. 2562 ที่ผ่านมา นายศักดิ์ชัย บุญมา รองผู้ว่าฯ กทม. เปิดเผยว่า กทม. มีแนวคิดที่จะประสานความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และผู้ประกอบการในพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์และใกล้เคียงเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ หลังพบว่า นโยบายจัดระเบียบผู้ค้าหาบเร่แผงลอยใน กทม. ที่ยกเลิกจุดผ่อนผันไปเป็นจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตตลอดจนการค้าขายของผู้ประกอบการรวมถึงอีกหลายภาคส่วน ทำให้เศรษฐกิจซบเซา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี