สตม.บูรณาการตำรวจภาค 6 ตามรวบแก๊งเวียดนาม ลวงคนชาติเดียวกัน-คนไทย ร่วมลงทุนเงินดิจิทัล สูญกว่า 130 ล้านบาท
11 ตุลาคม 2562 ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) , พล.ต.ต.พรชัย ขันตี , พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ , พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.พรชัย ขจรกลิ่น ผบก.สส.สตม. , พ.ต.อ.มานะ นาคทั่ง รอง ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช ปฏิบัติราชการ สตม. , พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.ภ.2 ปฏิบัติราชการ สตม. , พ.ต.อ.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบก.ปส.3 ปฏิบัติราชการ สตม., พ.ต.อ.พงษ์นคร นครสันติภาพ รอง ผบก.สส.สตม. , พ.ต.อ.สราวุธ คนใหญ่ รอง ผบก.สส.ภ.6 , พ.ต.อ.ปฏิญญา จีรชนาสิน ผกก.กก.4 บก.สส.สตม. , พ.ต.อ.ณรงค์ศักดิ์ ศรีนารอด ผกก.สส.3บก.สส.ภ.6 , พ.ต.ท.เอกสิทธิ์ ปานสีทา รอง ผกก.4 บก.สส.สตม. , พ.ต.ท.ธนกร ทิพย์ศิริ สว.กก.สส.3 บก.สส.ภ.6 , พ.ต.ท.ทศพร ตันสุวรรณ์ สว.กก.สส.ปป.บก.ตม.2 , พ.ต.ต.อดิศักดิ์ ปาโส สว.กก.4 บก.สส.สตม. ร่วมแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับคดีฉ้อโกง
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2562 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (บก.สส.สตม.) ได้รับการประสานจาก สภ.เมืองพิจิตร ว่ามีผู้ต้องหาชาวเวียดนามตามหมายจับของศาลจังหวัดพิจิตร ที่ จ.176/2562 ลง 23 ส.ค.2562 ชื่อ MR.NGOC อายุ 30 ปี ได้หลบหนีออกจากประเทศไทย โดยขอความร่วมมือสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองตรวจสอบ หากผู้ต้องหาเดินทางกลับเข้ามาในราชอาณาจักรไทยให้จับกุมและนำส่ง สภ.เมืองพิจิตรเพื่อดำเนินคดี โดยมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 130 ล้านบาท
ต่อมาชุดสืบสวน กก.4 บก.สส.สตม. , ชุดสืบสวน กก.2 บก.ตม.2 , ชุดศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และชุดสืบสวน กก.3 บก.สส.ภ.6 ร่วมกันสืบสวนจนทราบว่ามีบุคคลชื่อ MR.NGOC จะเดินทางโดยเครื่องบินจากประเทศเวียดนามมายังประเทศไทย ในวันที่ 2 ตุลาคม 2562 เวลา 13.30 น. ซึ่งหมายเลขหนังสือเดินทางไม่ตรงกับเลขหนังสือเดินทางของผู้ต้องหาตามหมายจับ
อย่างไรก็ตาม สตม. ได้ตรวจสอบว่าบุคคลดังกล่าวเป็นบุคคลคนเดียวกับผู้ต้องหาหมายจับหรือไม่ โดยชุดสืบสวนได้เฝ้าสะกดรอยจนพบ MR.NGOC ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ จึงได้เชิญตัวไปตรวจสอบเปรียบเทียบกับระบบ BIOMETRICS ผลยืนยันว่า MR.NGOC เลขหนังสือเดินทาง C 817xxxx เป็นบุคคลคนเดียวกับ MR.NGOC หมายเลขหนังสือเดินทาง C 663xxxx ผู้ต้องหาตามหมายจับข้างต้น จึงได้แสดงหมายจับให้ MR.NGOC ผู้ต้องหาทราบ โดยผู้ต้องหายอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริงและได้ไปทำหนังสือเดินทางเล่มใหม่ภายหลังจากถูกออกหมายจับ จากนั้นชุดสืบสวนจึงจับกุมและนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
พล.ต.ท.สมพงษ์ เปิดเผยว่า พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของผู้ต้องหานั้น ผู้ต้องหาดังกล่าวได้ร่วมขบวนการกับผู้ต้องหาคนไทยและคนเวียดนามรวม 7 คน ชักชวนผู้เสียหายซึ่งมีทั้งคนไทยและคนเวียดนามจำนวนหลายสิบคนให้ร่วมลงทุนกับกลุ่มผู้ต้องหา โดยหลอกลวงให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าสามารถนำเงินดิจิทัลสกุล onecoin มาใช้แทนเงินสดในการจับจ่ายซื้อสินค้าต่างๆที่ประเทศไทยได้ ซึ่งในช่วงเวลานั้นทั้งในประเทศเวียดนามและประเทศอื่นๆเงินดิจิทัลสกุล onecoin ประสบปัญหาไม่เป็นที่ยอมรับ จึงไม่สามารถใช้ซื้อสิ้นค้าหรือแลกเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินอื่นๆ ได้
ทั้งนี้ กลุ่มผู้ต้องหาได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าหากนำเงินสดมาลงทุนในเงินดิจิทัลสกุล onecoin ที่ประเทศไทยจะสามารถนำมาใช้ซื้อทองคำ รถยนต์ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยมีข้อตกลงว่าการซื้อขายทองคำ 1 บาท ให้นำเงินสดครึ่งหนึ่งและใช้เงินดิจิทัล onecoin ครึ่งหนึ่งตามมูลค่าทองคำในท้องตลาด หากทองคำราคาบาทละ 20,000 บาท ให้จ่ายเงินสด 10,000 บาท และเงินดิจิทัล onecoin ตามที่บริษัทกำหนด และจะได้รับดอกผลตอบแทนจากการร่วมลงทุนด้วย ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้เดินทางมาพบผู้ต้องหาและนำเงินสดมาร่วมลงทุนที่บริษัทของกลุ่มผู้ต้องหา ที่ จ.พิจิตร
ต่อมาภายหลังผู้เสียหายหลายคนพบว่าหลังจากที่หลงเชื่อร่วมลงทุนไปแล้ว ไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ตกลงหรือโฆษณากล่าวอ้างไว้ จึงทราบว่าถูกกลุ่มผู้ต้องหาหลอกลวง และได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพิจิตร เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหา กระทั่งมีการจับกุมดังกล่าว
“ขอแจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่ต้องการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยว่าเมื่อพบเห็นการโฆษณาชวนเชื่อชักชวนให้ร่วมลงทุนในธุรกิจสกุลเงินดิจิทัล และจะได้รับผลตอบแทนที่สูงภายในช่วงระยะเวลาสั้น ประชาชนควรระมัดระวัง ศึกษาข้อมูลและรายละเอียดให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เพราะมีความเสี่ยงที่มูลค่าจะผันผวน หรือปรับลดค่าลงได้อย่างรวดเร็ว และอาจใช้เป็นช่องทางในการหลอกลวงและฉ้อโกงประชาชนได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการโฆษณาว่าเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่จะให้ผลตอบแทนสูง หากมีการหาสมาชิกเพิ่มได้มาก อีกทั้ง onecoin ไม่ใช่สกุลเงินที่สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายไทย โดยสามารถติดตามข่าวสารและสอบถามรายละเอียดจากธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)” ผบช.สตม.กล่าว
# ขอบคุณภาพ-ข้อมูล พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รองผบก.อก.สตม. ปฏิบัติราชการ รองผบก.ตม.1
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี