ตร.นำหมายเข้าค้นกุฏิ อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองขาว พร้อมนำเซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิดไปตรวจสอบ ก่อนนำตัวไปฝากขังที่ศาลกาญจนบุรี ญาติเตรียมหลักทรัพย์ 9 แสนประกันตัว คนสนิทอดีตเจ้าอาวาส เชื่อเป็นการจัดฉาก และมีผู้อยู่เบื้องหลัง หวังใส่ร้ายอดีตเจ้าอาวาส
17 ตุลาคม 2562 จากกรณีนายพงษ์พิสุทธิ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี ชาวตำบลหนองขาว อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี นำลูกชายคือสามเณรนัท (นามสมมติ) อายุ 13 ปี เข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.หนองขาว อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เพื่อแจ้งความร้องทุกข์ต่อ เจ้าอาวาสวัดดังตำบลหนองขาวเนื่องจากถูกกักขังตัวไว้ในกุฏิ พร้อมบังคับให้สามเณรบีบนวดและอมอวัยวะเพศจนสำเร็จความใคร่นานนับเดือน
หลังจากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวสามเณรไปสอบถามข้อมูลร่วมกับเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพ ขณะที่ทางเจ้าคณะอำเภอท่าม่วงได้ตั้งคณะกรรมการสงฆ์ขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริง แต่ปรากฏว่า เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 16 ตุลาคม ที่ผ่านมา เจ้าอาวาสกลับไม่อยู่ที่วัดตามที่คณะกรรมการสงฆ์ได้นัดสอบข้อมูลไว้
กระทั่งเย็นวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหมายจับไปเชิญตัว เจ้าอาวาสที่กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี ก่อนจะนำตัวไปลาสิกขาที่ ต.วังขนาย อ.ท่าม่วง แต่เจ้าอาวาสไม่ยอมกล่าวคำลาสิขาบท ขณะที่ทางเจ้าคณะอำเภอ ได้นำชุดขาวมาให้สวมใส่ ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวมาสอบสวนต่อที่ สภ.หนองขาว ตามที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
พ.ต.อ.สุวิทย์ ห่วงทอง ผกก.สภ.หนองขาว ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.นัฐพงศ์ เอกเผ่าพันธุ์ รอง ผกก. สส.สภ.หนองขาว พ.ต.ท.ชาติชาย กาญจนภูสิต สว. (สอบสวน) สภ.หนองขาว ร.ต.อ.พิชิต กาญจนประกอบ รอง สว.สส.สภ.หนองขาว ร.ต.อ.สมหมาย พุกนิลฉาย รอง สวป.สภ.หนองขาว พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ภ.จว.กาญจนบุรี
นำหมายค้นศาลจังหวัดกาญจนบุรี ที่ มค.533/2562 ลงวันที่ 17 ต.ค.62 เข้าตรวจค้นกุฏิอดีตเจ้าอาวาส เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานในคดีและที่เกี่ยวข้องในการกระทำความผิด การตรวจค้นครั้งนี้ นายวินัย (สงวนนามสกุล) ยินยอมพร้อมนำพาคณะเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นอย่างละเอียดด้วยตนเอง จากการตรวจค้นเบื้องต้นไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย แต่เจ้าหน้าที่สังเกตพบว่ากล้องวงจรปิดบางตัวได้หายไป โดยเฉพาะกล้องที่ติดเอาไว้บริเวณหน้าห้องน้ำ ดังนั้นทางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน จึงได้นำเซิร์ฟเวอร์ของกล้องวงจรปิดมาตรวจสอบเพื่อหาหลักฐาน
พ.ต.อ.สุวิทย์ ห่วงทอง ผกก.สภ.หนองขาว เปิดเผยถึงความคืบหน้าของคดีดังกล่าวว่า พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหากับอดีตเจ้าอาวาสแล้ว และเมื่อดูจากอายุของสามเณรผู้เสียหาย ปรากฏว่า การกระทำผิดแบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา จึงได้แจ้ง 2 ข้อหา คือ 1.กระทำชำเราและอนาจารเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม และ 2.กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม แต่ขณะนี้นายวินัย ได้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
อย่างไรก็ตามเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบปากคำพยานไปแล้ว 6 ปาก ซึ่งปากที่สำคัญที่สุดคือ ปากสามเณรผู้เสียหาย โดยมีพยานปากอื่นมาประกอบ ในส่วนของหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ทางพนักงานสอบสวนจะได้เก็บรวบรวมพยานหลักฐานมาประกอบในสำนวน เพื่อสรุปสำนวนส่งให้พนักงานอัยการพิจารณาฟ้องศาล โดยในช่วงบ่ายวันนี้ พนักงานสอบสวนจะนำตัวผู้ต้องหาไปยื่นคำร้องขอฝากขังต่อศาล โดยจะคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากคดีนี้มีอัตราโทษสูง และเป็นที่น่าสนใจ เพราะกระทบต่อสังคม แต่การคัดค้านจะสำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล ว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่
ขณะที่นายสมศักดิ์ สุมะโน ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยถึงกรณีที่เกิดขึ้นว่า กรณีที่เกิดขึ้นแบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ ส่วนที่หนึ่งเป็นเรื่องงานทางการปกครองของคณะสงฆ์ ซึ่งเจ้าคณะผู้ปกครองได้ให้พระรูปดังกล่าวลาสิขาไปแล้ว ส่วนที่สองเป็นเรื่องของคดีความ ซึ่งเป็นเรื่องของฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ และรวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อผู้เสียหายร้องทุกข์กล่าวโทษก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายไป
เนื่องจากกระบวนการตรงนี้มีการรวบรัดดำเนินการไปพร้อมกันระหว่างกระบวนการทางคณะสงฆ์และกระบวนการของฝ่ายบ้านเมือง เมื่อดำเนินการไปพร้อมกันก็ถือว่าขั้นตอนทางด้านการปกครองคณะสงฆ์ โดยเจ้าคณะอำเภอ ซึ่งท่านมีอำนาจทางการปกครองในการที่จะกำกับดูแลพระภิกษุสงฆ์ในปกครองของท่านให้ประพฤติปฏิบัติให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเมื่อท่านพิจารณาเห็นว่าพระภิกษุสงฆ์รูปดังกล่าวได้ประพฤติปฏิบัติไม่ชอบด้วยพระธรรมวินัย เป็นเหตุให้ต้องพ้นจากความเป็นสงฆ์ ขณะนี้ถือว่าท่านได้พิจารณาในเรื่องดังกล่าวไปเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้การพ้นจากการเป็นพระภิกษุสงฆ์ จะพ้นได้ 2 ลักษณะใหญ่ คือ 1.การพ้นด้วยเหตุของการกระทำผิดพระธรรมวินัย 2.การพ้นด้วยการกระทำผิดกฎหมายอาญา ซึ่งในส่วนของพระรูปดังกล่าวมีพฤติกรรมบังคับให้สามเณรอมนกเขา จึงถือว่าเป็นการกระทำที่เป็นปาราชิกหนัก ซึ่งการเสพเมถุน ถือเป็นการปาราชิกหนักที่ทำให้พระรูปนั้นพ้นจากความเป็นสงฆ์ ดังนั้นการล่วงละเมิดทางเพศในลักษณะดังกล่าว จึงถือว่าพระสงฆ์รูปนั้นได้พ้นจากความเป็นสงฆ์ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องเปล่งวาจา
เมื่อพิสูจน์ได้ว่าท่านให้สามเณรอมนกเขาเป็นที่แน่ชัดแล้ว ซึ่งสามเณรก็ได้เปิดเผยความจริงออกมา จึงถือว่าท่านพ้นจากความเป็นสงฆ์ไปแล้วตั้งแต่กระทำผิดวินัยสงฆ์ตอนนั้นแล้ว ซึ่งสามเณรได้ให้ข้อเท็จจริงกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยร่วมกับเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพ ซึ่งปรากฏชัดเจนว่าเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นจริง ก็ถือว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายการกระทำผิดพระธรรมวินัย เป็นปาราชิกหนัก ในข้อที่ 1 ว่าด้วยการเสพเมถุน ซึ่งเป็นเรื่องของทางคณะสงฆ์ในการร่วมกันพิจารณา
โดยทางเจ้าคณะผู้ปกครองท่านคงได้ใช้ดุลยพินิจและได้ใช้วิธีการที่แยบยลในการที่จะได้มาซึ่งข้อมูลทั้งหมด ท่านจึงตัดสินใจให้พระรูปนั้นลาสิกขา อย่างไรก็ตามถือว่าเจ้าคณะผู้ปกครองท่านได้ใช้ความละเอียดรอบครอบในการพิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว ส่วนการแต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดรูปใหม่นั้น เป็นเรื่องของเจ้าคณะผู้ปกครองที่จะพิจารณาดำเนินการตามการปกครองของสงฆ์ ซึ่งการที่จะแต่งตั้งพระรูปใดนั้นก็แล้วแต่ทางคณะผู้ปกครองจะพิจารณาตามความเหมาะสมต่อไป
ด้านคนสนิทอดีตเจ้าอาวาส ซึ่งมาสังเกตการณ์การเข้าตรวจค้นกุฏิของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยนั้น กล่าวว่า อยากให้ฟังหลวงพ่อชี้แจงบ้าง ขณะที่เกิดเหตุภายในโบสถ์ก็มีพระรูปอื่นอยู่ด้วย ดังนั้นควรจะเชิญพระไปสอบถามข้อเท็จจริง สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเหมือนเป็นการมัดมือชก
ซึ่งทางญาติพี่น้องของหลวงพ่อก็อยากให้มีการสอบสวนข้อเท็จจริง ถ้าผิดก็ว่าไปตามผิด ซึ่งส่วนตัวไม่เชื่อคำให้การของพระลูกวัดและสามเณรที่ออกมาให้สัมภาษณ์ แต่เชื่อว่าเป็นการจัดฉากขึ้นมา และมีผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ เพื่อใส่ร้ายอดีตเจ้าอาวาส เพียงเพราะต้องการให้หลวงพ่อสึกเท่านั้น
สำหรับพระลูกวัดและชาวบ้านในพื้นที่ก็แบ่งออกเป็นสองฝ่าย มีทั้งฝ่ายที่เชื่อและไม่เชื่อ แต่ตนเชื่อว่าหลวงพ่อเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งในส่วนของพระลูกวัด ก็มีประวัติที่ไม่ดี ประกอบกับที่ผ่านมาพระลูกวัดรูปอื่นๆ ก็ยังคงเห็นสามเณรรูปดังกล่าวปฏิบัติกิจตามปกติ ไม่ได้ถูกกักขังหน่วงเหนียวตามที่พระโอ๊ตกล่าวอ้างแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่วงเวลาประมาณ 14.00 น.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวน สภ.หนองขาว ได้นำตัวพระครูสังฆรักษ์วินัย อินทวินโย หรือนายวินัย ฟักเขียว อดีตเจ้าอาวาส ไปฝากขังที่ศาลจังหวัดกาญจนบุรีเป็นผลัดแรก โดยญาติได้เตรียมหลักทรัพย์เอาไว้เพื่อยื่นประกันตัวจำนวน 9 แสนบาท และขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นประกันตัว แต่ศาลท่านจะให้ประกันตัวหรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดศาลได้พิจารณาคำร้อง นานกว่า 1 ชั่วโมง ในที่สุดศาลได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวตามคำร้อง ซึ่งทำให้มารดาและญาติต่างผิดหวัง ดังนั้นทางทนายความของอดีตเจ้าอาวาสจะได้เตรียมยื่นอุทธรณ์คำสั่งในวันพรุ่งนี้ต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี