ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเรื่องของการยกเลิกการใช้สารเคมี 3 ชนิด คือ พาราควอต ไกลโฟเซตและคลอร์ไพริฟอส เป็นประเด็นร้อนที่สื่อหลัก และสื่อออนไลน์เกือบทุกสำนักหันมาให้ความสนใจ นำเสนอกันหลากหลายมุมมอง ทั้งจากฝ่ายสนับสนุนให้ยกเลิก และฝ่ายที่ยังมีความต้องการใช้ นับเป็นการทำสงครามข้อมูลกันอย่างเข้มข้น แต่ข้อมูลที่นำเสนอของหลายฝ่ายยังมีความคลาดเคลื่อน และเข้าใจไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมีทั้ง 3 ชนิด ที่หลายคนจะเหมารวมว่าเป็นสารพิษที่อันตรายต่อผู้ใช้ และตกค้างในสิ่งแวดล้อมและผลผลิตจึงอยากจะขอแยกแยะทำความเข้าใจเสียใหม่เป็นรายชนิด
พาราควอต เป็นสารกำจัดวัชพืช ที่หยุดยั้งการเติบโตของเซลล์วัชพืชเฉพาะส่วนที่เป็นสีเขียว และทำให้เนื้อเยื่อของเซลล์นั้นแห้งลงโดยไม่แพร่กระจายเข้าสู่เนื้อเยื่อพาราควอตไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ด้วยตัวของมันเอง นอกจากจะถูกเคลื่อนย้ายจากผฝีมือมนุษย์ และธรรมชาติ และสารพาราควอตจะไม่ออกฤทธิ์ในดิน จึงไม่ทำให้เกิดการปนเปื้อนในแหล่งน้ำใต้ดิน และจะถูกย่อยสลายเองตามธรรมชาติ โดยแสงแดด และจุลินทรีย์ในดินหากปนเปื้อนลงในแหล่งน้ำก็จะเกาะติดกับตะกอนดินและจะถูกย่อยสลายตัวเองไปเรื่อยๆ
ไกลโฟเซต เป็นสารกำจัดวัชพืช ที่ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในพืชซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช ซึ่งเอนไซม์ดังกล่าวนี้ไม่พบในมนุษย์ หรือสัตว์ ไกลโฟเซตถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์หลายชนิดในดิน และน้ำ โดยที่จุลินทรีย์เหล่านั้นจะย่อยสลายไกลโฟเซตเพื่อใช้เป็นอาหาร และให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นธาตุคาร์บอนที่จุลินทรีย์นำไปใช้ได้ รวมทั้งสารชนิดอื่นที่พบอยู่ทั่วไปในธรรมชาติ ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์
คลอร์ไพริฟอส เป็นสารเคมีกำจัดแมลงศัตรูพืชในกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต โมเลกุลของสารประกอบไปด้วยธาตุ คาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส ซัลเฟอร์ และคลอรีน สามารถกำจัดแมลงศัตรูพืชได้หลากหลาย ทั้งแมลงปากดูด แมลงปากกัด มีคุณสมบัติถูกตัวตาย และกินตาย (หมายถึงตัวแมลง สัมผัสสาร หรือกินสารเข้าไปก็จะทำให้ตาย)
ในบรรดาสารเคมี 3 ชนิดนี้ คลอร์ไพริฟอสดูจะเป็นอันตรายกว่าชนิดอื่นเพราะสารคลอร์ไพริฟอสเป็นพิษต่อปลา ต้องระมัดระวังการชะล้างลงสู่แหล่งน้ำ รวมทั้งเป็นพิษต่อผึ้ง จึงห้ามใช้ในระยะดอกกำลังบาน และมีความเป็นพิษต่อตัวห้ำและตัวเบียนศัตรูธรรมชาติของศัตรูพืช จึงต้องใช้อย่างระมัดระวัง สำหรับระยะปลอดภัยหลังการใช้สารต้องเว้นระยะเวลาก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิตหลังพ่นสารครั้งสุดท้าย 7 - 14 วัน เป็นอย่างน้อย
จากมาตรการจำกัดการใช้ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ประกาศออกมาก่อนหน้านี้กำหนดให้ใช้ คลอร์ไพริฟอส และ ไกลโฟเซต เฉพาะกับพืช 6 ชนิด คือ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน อ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง และไม้ผล ส่วนคลอร์ไพริฟอส ให้ใช้เฉพาะการกำจัดหนอนเจาะลำต้นเท่านั้น และไม่ให้ใช้สารเคมี 3 ชนิดนี้ ในนาข้าว แปลงพืชผัก และสมุนไพร ไม่ให้ใช้ในพื้นที่สาธารณะ และพื้นที่ต้นน้ำ แต่การนำเสนอของสื่อหลายสำนัก รวมทั้งฝ่ายนับสนุนให้ยกเลิกสารเคมี 3 ชนิดนี้ ไม่ได้คำนึงถึงความแตกต่างของสารเคมีทั้ง 3 ชนิด จึงเห็นภาพที่นำเสนอมีการฉีดพ่นสารในนาข้าว และในแปลงผัก รวมทั้งอ้างถึงสารตกค้างในผักด้วย ซึ่งไม่เป็นความจริงเพราะเกษตรกรไม่ได้ใช้กับผัก
นอกจากนี้ยังเห็นภาพการฉีดพ่นสารเคมีของเกษตรกรที่ไม่ได้สวมเครื่องป้องกัน เช่น ไม่สวมหน้ากาก ไม่สวมเสื้อแขนยาว ไม่สวมรองเท้ายาง ในขณะที่ฉีดพ่นละอองสาร (หรือน้ำเปล่าก็ไม่ทราบ) ฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ เพราะถ้าเกษตรกรปฏิบัติเช่นนั้นจริง ไม่ว่าสารเคมีชนิดใดก็เป็นอันตรายทั้งสิ้น
ตามที่ฝ่ายเกษตรกรผู้ยังมีความจำเป็นต้องใช้สารกำจัดวัชพืช 2 ชนิดนั้น ออกมาเรียกร้องให้คนที่อยากยกเลิก หาสารอื่น หรือ วิธีการอื่นมาทดแทนเสียก่อนจึงค่อยยกเลิกสารเคมีที่เขาใช้มา 30-40 ปี และก่อนหน้านี้มีผู้ที่สนับสนุนการยกเลิกเผลอเอ่ยชื่อสารเคมีที่แนะนำให้เกษตรกรใช้ทดแทนสารกำจัดวัชพืชออกมาชนิดหนึ่งที่กล่าวถึงกันมากเป็นสารที่ 4 นั่นคือ สารกลูโฟซิเนต แต่เกษตรกรยังไม่ยอมรับ เพราะราคาแพงกว่าสารเดิม 4-5 เท่า และประสิทธิภาพยังไม่ดีเท่าสารชนิดเดิม
กลูโฟซิเนตตามข้อมูลของผู้ขาย ว่าเป็นสารกำจัดวัชพืชหลังงอกแบบไม่เลือกทำลาย ใช้กำจัดได้ทั้งวัชพืชใบแคบและใบกว้าง กำจัดได้ทั้งสัมผัส และแทรกซึม ไม่ดูดซึมเข้าทางรากของพืชที่ปลูก สลายตัวง่าย ไม่ตกค้างในดิน แต่ข้อมูลจากเอ็นจีโอของอังกฤษ บอกว่าสารนี้มีความคงทนสูง ไม่สลายตัวง่าย และสามารถเคลื่อนย้ายได้ในดิน จึงสามารถลงไปสะสมในแหล่งนน้ำใต้ดินได้ และยังมีพิษต่อจุลินทรีย์ในดินและสิ่งมีชีวิตในน้ำ (ไม่รู้ว่า เอ็นจีโอของอังกฤษ จะบิดเบือนข้อมูลเหมือนเอ็นจีโอของประเทศอื่นหรือไม่)
เข้าไปในเว็บไซต์ของกรมวิชาการเกษตร เพื่อดูข้อมูลการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย พบว่าในช่วงปี 2554-2560 มีการขึ้นทะเบียนสารกลูโฟซิเนตปีละ 4-7 ทะเบียน มีทั้งทะเบียนการนำเข้า ส่งออก และทะเบียนผลิต ต่อมาในปี 2561 หลังจากที่มีมาตรการห้ามนำเข้าและขึ้นทะเบียน พาราควอต และไกลโฟเซต ปรากฏว่า มีสารกลูโฟซิเนตมาขึ้นทะเบียนนำเข้า และผลิตรวม 37 ทะเบียน เพิ่มขึ้น 5-6 เท่าตัว ส่วนใหญ่ทะเบียนจะหมดอายุในปี 2567
ในปี 2554 บริษัทที่ขึ้นทะเบียนกลูโฟซิเนตคือ บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด แหล่งผลิตมาจากเยอรมนี และมาเลเซีย ขึ้นทะเบียนประเภทส่งออก และมีอีก 2 บริษัท ขึ้นทะเบียนนำเข้า และ ผลิต แหล่งผลิตมาจากมาเลเซีย มาในระยะหลังมีบริษัทขึ้นทะเบียนกลูโฟซิเนตหลายบริษัท และแหล่งผลิตส่วนใหญ่มาจากจีนโดยเฉพาะในปี 2561 ในจำนวน 37 ทะเบียน เป็นทะเบียนนำเข้า15 ทะเบียน ที่เหลือเป็นทะเบียนผลิต มีบริษัทที่ขึ้นทะเบียนทั้งหมด 16 บริษัท และมีแหล่งผลิตสารมาจากจีนถึง 34 ทะเบียน
ไม่มีอะไรมาก แค่อยากแชร์ข้อมูลเฉยๆ ว่าแต่ข้อมูลนี้ เป็นข้อมูลชุดเดียวกับที่ท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ มนัญญา ไทยเศรษฐ์บุกไปเอามาจากกรมวิชาการเกษตรหรือเปล่าไม่รู้....
แว่นขยาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี