10 พฤศจิกายน 2562 นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารมว.เกษตรฯ พร้อมด้วยนายวรยุทธ บุญมี ผอ. กองนโยบายเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรและเกษตรกรรมยั่งยืนและ เจ้าหน้าที่ กนท.กกส.และกษ.สุพรรณบุรี และตัวแทนนักวิจัยเอกชนที่ร่วมกันศึกษา“จุลินทรีย์ ชีวภัณฑ์ “ ร่วมกับ ม. แม่โจ้ ได้ ร่วมกันเข้าตรวจสอบแปลงอ้อยอินทรีย์ของ นายสุรินทร์ ขันทอง บ้านหนองมะค่าโหม่ง ต.หนองมะค่าโหม่ง อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี ซึ่งมีการปลูกอ้อยอินทรีย์ 600 ไร่ โดยใช้จุลินทรีย์ในการกำจัดวัชพืช เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าสามารถใช้ได้ผลจริงหรือไม่ หลังจากพบว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ มีการกำจัดวัชพืชที่ ใช้ “จุลินทรีย์ ชีวภัณฑ์” และไม่มีการใช้สารเคมี
นายอลงกรณ์ เปิดเผยว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรฯ ได้การให้ตนพร้อม ตนแทนจากกระทรวงเกษตรฯ ลงตรวจสอบข้อมูลหลังจากที่ผ่านมา มีการเสนอข้อมูลจากนักวิจัยเอกชน บางกลุ่มที่ทำงานวิจัยร่วมกับ ม.เกษตรแม่โจ้ แจ้งว่ามีการศึกษาวิจัยเรื่องการ “จุลินทรีย์ ชีวภัณฑ์ “ ที่นำมาใช้ในการทำการเกษตรทั้งระบบและสามารถใช้ได้ผลจริง ตั้งแต่การปรับปรุงบำรังดินที่เคยใช้สารเคมี ให้กับมาเป็นดินที่ไม่มีสารเคมีตกค้าง
ขณะเดียวกันยังมีการศึกษาเรื่องการใช้ “จุลินทรีย์ ชีวภัณฑ์ “ ในการกำจัดวัชพืชได้จริง โดยก่อนหน้านี้ นายเฉลิมชัย รมว.เกษตรฯ ได้สั่งให้มีการตั้งคณะทำงานได้ ศึกษาในการหาสิ่งทดแทน ที่จะเข้ามาช่วยเหลือเกษตรกรหลังจากที่คณะกรรมกมรวัตถุอันตราย มีมติให้มีการแบน 3 สารเคมีที่เป็นสารเคมี ที่ใช้ในการกำจัดวัชพืช ซึ่งและแมลงซึ่งหากไม่มีสิ่งทดแทนที่ชัดเจน อาจสร้างปัญหาให้กับเกษตรกรได้ จึงตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาและหาทางออก กับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นทั้งระบบ
โดยหลังจากมีนักวิจัยกลุ่มหนึ่งได้นำข้อมูลที่มีการศึกษาวิจัยมาให้กระทรวงเกษตร พิจารณาส่งเสริมให้มีการผลิต “จุลินทรีย์ ชีวภัณฑ์ “ และมีการใช้ จริงในพื้นที่ สุพรรณบุรี จึงลงตรวจสอบในพื้นที่ และจาการสอบถามข้อมูลทั้งจากกลุ่มนักวิจัย และผู้ใช้จริงก็พบว่าที่ผ่านมา จุลินทรีย์และชีวิภัณฑ์ที่มีการผลิตมีการใช้ ในกลุ่มคนบางกลุ่ม เพราะมีปัญหาเรื่องการขึ้นที่ทะเบียนของทางกรมวิชาการเพราะกรมวิชากการจะมี การขึ้นทะเบียนให้เฉพาะชีวภัณฑ์เชิงเดี่ยวเท่านั้น จึงติดเงื่อนไขการขึ้นทะเบียนทั้งหมด เพราะจุลินทรีย์ชีวภัณฑ์ที่ทดลองใช้เป็นเชิงอนุพันธ์ จึงมีปัญหาเพราะตามกฎหมายในการขึ้นทะเบียนและชีวภัณฑ์ ทางเลือกทุกชนิดที่จะสามารถจำหน่ายได้ ต้องการผ่านการรับรองจากกรมวิชาการทั้งหมด เพื่อให้การคุ้มครองเกษตรกร เช่นเดียวกับสารเคมีทั้งหมดเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม การประชุมคณะกรรมการ ศึกษา ผลกระทบ ที่มีการประชุมครั้งแรกก็พบว่าหลังมีการแบน สารเคมี 3 ชนิดที่ผ่านมา ยังไม่มีการเตรียมพร้อมเรื่องสิ่งทดแทน ในส่วนสารเคมีที่ถูกแบน จึงได้สั่งการ ให้ทางกรมวิชาการเสนอทางเลือกเข้ามาปรากฏว่าในส่วนของกรมวิชการการเสนอมา ส่วนใหญ่เป็นสารเคมีซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเหมาะสม เมื่อแบนสารเคมี และต้องการยกเลิกการใช้สารเคมีก็ไม่ควรนำสารเคมีมาทดแทน หลังจากการตรวจสอบก็พบว่ามีจุลินทรีย์ ชีวภัณฑ์ที่เป็นทางเลือกอีกทางไม่มีการเสนอมา จึงได้มีการสอบถามก็พบว่ายังไม่เคยมีการขึ้นทะเบียนรับรอง จึงไม่สามารถเสนอต่อที่ประชุมได้ แต่ในที่ประชุมก็ได้มีการนำเสนอข้อมูลจาก ทางนายวรยุทธ บุญมี ผอ. กองนโยบายเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรและเกษตรกรรมยั่งยืน หรือ กนท.ว่ามีจุลินทรีย์ ชีวภัณฑ์ที่มีการใช้จริง
ตนจึงเข้ามาตรวจสอบ เพื่อสรุปข้อมูลต่อที่ประชุมอีกครั้ง ซึ่งจะมีการประชุม ในวันที่ 14 พฤศจิกายนนี้ โดยจากข้อมูลที่มีการสอบถาม นักวิจัย และเกษตรกรที่ใช้จริง พบว่ามีต้นทุนการผลิต โดย เฉลี่ยพอกับต้นทุนของสารเคมีที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายที่แบนก่อนหน้านี้ แต่มีข้อดีคือไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศน์ทั้งหมดซึ่งปลอดภัยสามารถพิสูจน์ ได้
อย่างไรก็ตามจากข้อมูลดังกล่าว ตนได้มอบหมายให้ทาง นายวรยุทธ บุญมี ผอ. กองนโยบายเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรและเกษตรกรรมยั่งยืนสรุปเสนอ ต่อที่ประชุมเพื่อพิจารณาเป็นทางเลือกในการช่วยเหลือเกษตรกรต่อไป ซึ่งขณะนี้กระทรวงเกษตรกำลังเร่งหาทางช่วยเหลือเกษตรกร โดยรวมหากสามารถขึ้นทะเบียนและรับรองได้ ก็น่าจะเป็นทางออกเรื่องต้นทุนให้กับเกษตรกรอีกทาง
'ตอนนี้กระทรวงเกษตรฯ กำลัง หาทางที่จะช่วยเกษตรกรทั้งหมดที่ได้รับผลกระทบจากการแบนสารเคมีทั้ง 3 สารวันนี้ ในมีข้อเสนอที่ดีไม่ใช่เฉพาะชีวภัณฑ์ก็เสนอและมาให้ข้อมูลที่กระทรวงเกษตรได้ เพื่อเราจะนำเสนอต่อที่ประชุม เมื่อต้องการจะยกเลิกการใช้สารเคมี ก็ ไม่ควรจะใช้เคมีเข้ามาทดแทน อีก หากยังเสนอ สารเคมมีมาเป็นทางเลือกอีก กระทรวงเกษตรจะตอบสังคมได้อย่างไร ซึ่งหาก จุลินทรีย์ ได้ได้ผลจริง และมีการตรวจสอบรับรองได้ก็น่าจะเป็นทางเลือกได้อีกทาง ซึ่งนโยบายของ รัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการประทรวงเกษตรก็ชัดเจนว่า ต่อการ ส่งเสริมเรื่องเกษตรอินทรีย์ เป็นหลัก ซึ่งตองสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนทั้งหมด' นายอลงกรณ์ กล่าว
นายอลงกรณ์ กล่าวด้วยว่าในส่วน แนวคิดที่จะมีการจัดตั้งองค์ขึ้นมาบริหารจัดการเรื่องเกษตรอินทรีย์ ให้ชัดเจน ในส่วนตนเห็นว่าดี และมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง เนื่องต้องการส่งเสริมให้มีการผลิตสินค้าเกษตรกรอินทรีย์ ที่ยั่งยืนในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการส่งเสริมการสร้างรายได้อย่างยั่งยืนในอนาคตด้วย
นายสุรินทร์ ขันทอง เกษตรกร เจ้าของแปลงไร่อ้อย กล่าวว่า เดิมตนใช้ เคมี และมีปัญหาเรื่องต้นทุนการผลิตค่อนข้างเยอะ ขณะเดียวกันก็ มีวัชพืช จำนวนมาก ก็ พยายามแก้ปัญหามาหลายวิธี จน มาพบชีวภัณฑ์ทางเลือกตามที่มีการแนะนำจึงลองใช้ดูหลังจากใช้มานานกว่า 7 ปี ก็พบว่าการกำจัดวัชพืชสามารถแก้ปัญหาได้ทั้งระบบ และ มีสุขภาพแข็งแรง ระบบนิเวศ กลับมาดีเหมือนเดิม จึงเลือกใช้มาตลอด แต่ขณะนี้ยอมรับว่า ยังไม่ได้มีการใช้แพร่หลาย เนื่องจากยังไม่ได้มีการขึ้นทะเบียนรับรองอย่างเป็นทางการ ซึ่งหากภาครัฐมีการขึ้นทะเบียน ให้ คาดว่าน่าจะเป็นทางเลือกให้เกษตรกรได้มากขึ้นด้วยจึงอยากของให้ภาครัฐพิจารณาในเรื่องนี้ด้วย
ด้านนายนายฐปนรมย์ แจ่มใส นักวิจัยอิสระ ร่วมกับม.แม่โจ้เปิดเผยว่า จากที่ตนที่ทำหนังสือถึงนายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อขอเข้าให้ข้อมูลจากทางกระทรวงเกษตรฯ เรื่องการใช้จุลินทรีย์เพื่อกำจัดวัชพืชในการประกอบอาชีพทางการเกษตรกรรม ตามที่กระทรวงเกษตรฯประกาศนโยบายเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ และผลักดันยกเลิกการใช้3สารเคมี ทั้งหมดเพื่อเป็นทางเลือกให้กับเกษตรกร หากต้องการ ยกเลิกการใช้สารเคมีจริง ก็ควรจะใช้จุลินทรีย์ชีวภัณฑ์ไม่ใช่สารเคมีมาทดแทน โดยที่ผ่านมาตนได้มีการศึกษาวิจัย ร่วมกับ ม.แม่โจ้และใช้ในแปลงทดลองและท้าพิสูจน์ว่าได้ผลจริงตนจึงพาตัวแทนจากกระทรวงเกษตรมาดูแปลงทดลอง เพื่อให้เห็นชัดเจนจากนี้ไปคงขึ้นอยู่กับทางกระทรวงเกษตรว่าจะขับเคลื่อนอย่างไร หากมีข้อสงสัยตนพร้อมจะให้ความร่วมหรือทดลอง ในทุกด้าน
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา ตนได้ขอขึ้นทะเบียน กับทางกรมวิชากการมาโดยตลอดเพื่อเป็นทางเลือกให้กับเกษตรกร ได้ได้รับการปฎิเสธ ว่าไม่สามารถขึ้นทะเบียนได้ทั้งที่ต่างประเทศสามารถขึ้นทะเบียนได้ทั้งหมด รวมทั้งส่งเสริมการผลินสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพื่อจำหน่าย และสร้างรายได้มหาศาล และที่ผ่านมา ตนก็ เป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มเกษตรกรและผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ หมาหลายประเทศ จึงไม่อยากเกษตรกรไทยเสียโอกาส
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี