ครั้งที่แล้วได้นำเสนอมุมมองของการวิวัฒนาการด้านการเกษตร นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ที่เปลี่ยนระบบการเกษตรเป็นฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ จากต่างประเทศเข้ามา ทั้งการส่งนักศึกษาไปเรียนในต่างประเทศและการได้รับทุนช่วยเหลือจากประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ประเทศในยุโรป ออสเตรเลีย หรือ อิสราเอล เป็นต้นหลังจากนั้น ในปี 2510 เริ่มทบทวนปัญหาในการพัฒนาการเกษตรใหม่ ด้วยเห็นว่าเทคโนโลยีมีแต่ไม่เข้าถึงเกษตรกร จึงเกิดนักส่งเสริมการเกษตรขึ้นมาทั้งในระดับตำบล อำเภอ จังหวัด ภาค ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว อย่างไรก็ตาม นักส่งเสริมการเกษตร ได้ปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ไปต่างๆ จนกระทั่งงานหลักที่ทำให้เกิดนักส่งเสริมการเกษตร กลายเป็นงานลำดับท้ายๆ ของนักส่งเสริมการเกษตรในปัจจุบัน
จุดเริ่มต้นของนักส่งเสริมการเกษตรคือ การมุ่งให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีสมัยใหม่ไปสู่เกษตรกรให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการทำการเกษตรของตนเอง เพื่อให้ได้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจอย่างเต็มศักยภาพการผลิต ในขณะที่ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมการเกษตรในรูปแบบของการจำหน่ายปัจจัยการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย และสารเคมีทางการเกษตร ขยายไปถึงสารชีวภัณฑ์ สารปรับปรุงดิน ปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่าภาคเอกชนประกอบธุรกิจ ดังนั้นจึงต้องแสวงหาผลกำไร เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตต่อไปได้ จึงต้องใช้กลไกทางการตลาดต่างๆ มาใช้กับธุรกิจของตนเอง ทั้งการสร้างความจำเพาะเจาะจง ผูกกันเป็นแพคเกท รวมไปถึงการคุ้มครองสิทธิในรูปแบบของการขึ้นทะเบียน การเป็นผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว สิ่งต่างๆเหล่านี้ส่งผลต่อตัวของผลิตภัณฑ์ ราคา คุณภาพ และมาตรฐาน และย่อมส่งผลกระทบต่อการลงทุนของเกษตรกรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จากเหตุผลดังกล่าว จึงมีความพยายามจากภาคราชการและตัวเกษตรกรที่จะแสวงหาแนวทางที่ดีที่สุด เพื่อลดการพึ่งพาและให้ผลตอบแทนในระดับที่ยอมรับได้ จึงเกิดแนวคิดการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม (Appropriate Technology) การเกษตรแบบผสมผสานแทนการทำการเกษตรเชิงเดี่ยว และการใช้เทคโนโลยีในท้องถิ่นที่พัฒนามาจากภูมิปัญญาพื้นบ้าน ขยายตัวเข้าไปแทรกซึมกับการเกษตรแบบพึ่งพาผู้อื่นอย่างเต็มร้อย ผลการจากศึกษาวิจัยและการลงทุนของภาครัฐในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตทางการเกษตรอย่างยาวนาน จะถูกนำไปปรับใช้และถ่ายทอดสู่เกษตรกรกลุ่มต่างๆ ได้อย่างไร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านได้พระราชทานแนวทางในการทำการเกษตรที่เรียกว่า การทำการเกษตรแบบทฤษฎีใหม่ ที่เน้นการเกื้อกูลกันในทุกๆ กิจกรรมของการทำการเกษตรของเกษตรกร ลดการพึ่งพาจากภายนอก สร้างความมั่นคงทางอาหารให้เกิดขึ้นจากระบบการเกษตรของตนเอง และจัดการความเสี่ยงที่อาจขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องน้ำ หรือ ความหลากหลายของชนิดพืชและสัตว์ในระบบการผลิตของตนเอง ซึ่งจะสร้างความอยู่ดีกินดีให้เกิดขึ้นกับเกษตรกรผู้นั้นในทึ่สุด ประกอบหลักของเศรษฐกิจพอเพียงที่พระองค์ทางพระราชทานให้ จะส่งผลให้เกิดความมั่นคงในอาชีพ ลดการพึ่งพา มีภูมิคุ้มกันในตนเอง และเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
ปัจจุบันจะเห็นว่าบทบาทในการส่งเสริมการเกษตรจากภาคราชการลดน้อยลงไปมาก เกษตรกรสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ภาคเอกชนสามารถเข้าถึงเกษตรกรได้ง่ายขึ้นเช่นกัน ผ่านช่องทางการสื่อสารสมัยใหม่ต่างๆ ทำให้การชักจูงเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เช่นกัน บางกรณีเป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรโดยไม่จำเป็น เช่นกรณีของเมล็ดพันธุ์ข้าว โดยปกติเกษตรกรสามรถเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวไว้ใช้เองได้อย่างน้อย 3 ฤดูปลูก จึงจะเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ข้าวใหม่ แต่เมื่อการส่งเสริมการขายเข้ามา รูปแบบการผลิตข้าวเปลี่ยนไป กลายเป็นว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่มีการเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวไว้เองแล้ว ต้องลงทุนในเรื่องเมล็ดพันธุ์ในทุกครั้งที่ปลูกข้าว แถมด้วยโฆษณาให้ฉีกพ่นฮอร์โมน์ สารเสริมโน่นนี่นั่น เต็มไปหมด ทำอย่างไรจึงจะทำให้เกษตรกรเหล่านี้รู้เท่าทันและสามารถตัดสินใจได้ถูกต้องว่าสิ่งไหน คือ เทคโนโลยีที่เหมาะสม
ในขณะที่เกิดกระแสการปฏิเสธเทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ยึดสุขภาพของผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ หากการเกษตรของประเทศไทยจะย้อนกลับ ณ จุดเริ่มต้นอีกครั้ง คงต้องบอกว่าเสียดายการลงทุนในการพัฒนาการเกษตรสมัยใหม่กว่า 80 ปีที่ผ่านมา ทำไมไม่นำแนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่ภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง รัชกาลที่ 9 ผนวกกับเทคโนโลยีการเกษตรที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ โดยไม่ได้คิดประเด็นด้านธุรกิจมาสร้างความมั่นคงในอาชีพ ความมั่นคงทางอาหาร และการพัฒนาที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริง ผมยังหวังว่า การวิจัย พัฒนาและส่งเสริมการเกษตรจะเดินหน้าควบรวมไปสู่เป้าหมายการพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืนสืบไป
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี