“เฉลิมชัย” สั่งสรุปมาตรการช่วยเกษตรกรหลังแบน 3 สาร 22 พฤศจิกายน พร้อมกำชับกวาดล้างชีวภัณฑ์ที่ยังไม่ขึ้นทะเบียน หลอกขาย
เกษตรกรผ่านโซเชียล ด้านอธิบดีกรมวิชาการเกษตรฯเผยผลปราบปรามสารอวดอ้างกำจัดวัชพืชผสมวัตถุอันตรายใน 5 จุด 3 จว.ยึดได้กว่า 58 ตัน มูลค่า 25 ล้าน เตือนเกษตรกรอย่าหลงเชื่อ
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์เปิดเผยความคืบหน้าการหามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกใช้สารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิดคือ พาราควอต ไกลโฟเซตและคลอร์ไพริฟอสว่าได้กำชับให้คณะทำงานพิจารณาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกใช้สารเคมีทางการเกษตร3ชนิด ซึ่งมีนายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรฯ เป็นประธานสรุปมาตรการต่างๆภายในวันที่ 22พฤศจิกายน รองรับการออกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมที่จะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ธันวาคม โดยเฉพาะระยะเร่งด่วนที่อาจต้องชดเชย เพื่อลดต้นทุนให้เกษตรกรที่จะได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากสารทดแทน 3 สารเคมีดังกล่าว ระยะต่อไปจะส่งเสริมให้ใช้เครื่องจักรกลและเทคโนโลยีการเกษตร
ส่วนระยะยาวคือหาสารชีวภัณฑ์ที่นำมาใช้ทดแทน3สารเคมีโดยกรมวิชาการเกษตรรายงานว่า ปัจจุบันสารชีวภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจากกรมฯมี73รายการ เป็นสารป้องกันกำจัดโรคและศัตรูพืชเท่านั้น ยังไม่มีสารป้องกันกำจัดวัชพืช คณะทำงานฯเห็นความสำคัญของการเร่งหาสารชีวภัณฑ์ในการป้องกันกำจัดวัชพืช ซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ยอมรับว่าการรับรองหรือขึ้นทะเบียนสารชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดวัชพืชยังล่าช้า เนื่องจากมีขั้นตอนทดสอบประสิทธิภาพและความเป็นพิษตามหลักเกณฑ์วิชาการการจะเปิดให้ขึ้นทะเบียนได้ต้องแน่ใจว่าไม่มีผลกระทบต่อพืชหลักที่ปลูกในแปลง
“ผมกำชับกรมวิชาการเกษตรให้ป้องปรามควบคุมไม่ให้มีการจำหน่ายสารชีวภัณฑ์ที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนและให้เข้าไปให้ความรู้เกษตรกรจะได้ไม่หลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าป้องกันกำจัดวัชพืชได้นั้นซึ่งมีการผสมสารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืชลงไป พร้อมมอบนโยบายให้กรมวิชาการเกษตรเปิดกว้างการขึ้นทะเบียนสารชีวภัณฑ์แต่ต้องทดสอบทางวิชาการแล้วว่ามีประสิทธิภาพและปลอดภัย”นายเฉลิมชัย ย้ำ
ด้านน.ส.เสริมสุข สลักเพ็ชร์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตรเปิดเผยว่าหลังกรมวิชาการเกษตรได้รับเรื่องร้องเรียนจากเกษตรกรมีการขายสารชีวภัณฑ์กำจัดวัชพืชและศัตรูพืชขายทางสื่อออนไลน์จำนวนมากจึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ล่อซื้อเพื่อนำมาตรวจวิเคราะห์ เบื้องต้นพบฉลากที่ระบุเป็นสารชีวภัณฑ์กำจัดวัชพืชไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร ยังพบหลายยี่ห้อ มีส่วนผสมของสารเคมีกำจัดวัชพืชพาราควอตและไกลโฟเซตจึงสั่งให้สารวัตรเกษตรทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคร่วมปฏิบัติการกับเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)เข้าตรวจค้นแหล่งผลิตจำหน่ายปุ๋ยและวัตถุอันตรายทางการเกษตร5จุด ตามที่สืบทราบโดยจัดเจ้าหน้าที่ตรวจค้นที่ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี อ.จอหอ และ อ.พิมาย จ.นครราชสีมาและ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี2 จุดพบของกลางผิดกฎหมายเป็นวัตถุอันตราย 18 รายการและปุ๋ย 36 รายการ ปริมาณรวม58.5 ตัน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 25ล้านบาท
เจ้าหน้าที่อายัดของกลางไว้ทั้งหมด รวบรวมหลักฐานดำเนินคดีกับผู้ทำผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535คือผลิตและจำหน่ายวัตถุอันตรายไม่ได้รับอนุญาต โทษจำคุกไม่เกิน2ปี ปรับไม่เกิน2 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ผลิตและจำหน่ายวัตถุอันตรายไม่ขึ้นทะเบียน โทษจำคุกไม่เกิน3ปีปรับไม่เกิน3 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ผลิตและจำหน่ายปุ๋ยไม่ได้รับอนุญาต โทษจำคุกไม่เกิน5ปี ปรับไม่เกิน2แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ผลิตและจำหน่ายปุ๋ยไม่ขึ้นทะเบียน โทษจำคุกตั้งแต่1-5ปีปรับตั้งแต่4หมื่น–2แสนบาท
อธิบดีกรมวิชาการเกษตรยังย้ำว่าสารชีวภัณฑ์กำจัดศัตรูพืช ต้องขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตรและต้องผ่านการประเมินข้อมูลพิษวิทยา การขอนำเข้าหรือผลิตตัวอย่างเพื่อวิเคราะห์คุณภาพของผลิตภัณฑ์ และทดลองประสิทธิภาพ เพื่อให้เกษตรกรได้ใช้สารทดแทนที่มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดศัตรูพืช และปลอดภัยทั้งคนใช้ ผู้บริโภค และได้ผลผลิตดี จึงขอเตือนเกษตรกรอย่าหลงเชื่อคำกล่าวอวดอ้างสรรพคุณสินค้าเกินจริง ให้สังเกตฉลากต้องได้รับการขึ้นทะเบียนถูกต้องจากกรมวิชาการเกษตร
ขณะนายรังสิต สุวรรณมรรคา ผู้เชี่ยวชาญด้านวัชพืชและวิทยาศาสตร์เกษตร ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยและพัฒนา ม.เกษตรศาสตร์ กล่าวถึงกรณีดีเอสไอ จับผู้ลักลอบขายสารป้องกันกำจัดวัชพืชโดยอ้างเป็นสารชีวภัณฑ์ว่าเป็นห่วงเกษตรกรที่ถูกหลอกลวง เพราะปัจจุบันยังไม่มีสารชีวภัณฑ์ใดที่มีฤทธิ์ป้องกันกำจัดวัชพืช แต่เมื่อมีกระแสต่อต้านการใช้สารเคมีจึงเป็นช่องว่างให้เกิดการหลอกลวงโดยนำพาราควอตหรือไกลโฟเซตผสมในสารที่แอบอ้างว่าเป็นสารชีวภัณฑ์ ขอเรียกร้องให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายที่มี รมว.อุตสาหกรรม เป็นประธานควรทบทวนมติยกเลิกสามสารเคมีดังกล่าว แต่ให้กลับไปใช้มติเดิมที่ให้จำกัดการใช้อบรมวิธีใช้ที่ถูกต้องเหมาะสมให้เกษตรกร เพื่อความปลอดภัย ถ้ายังดึงดันยกเลิกจะทำให้เกษตรกรเดือดร้อนจากต้นทุนที่สูงขึ้นและไม่มีสารทดแทน ถ้าใช้ไม่ถูก ก็ไม่เกิดประโยชน์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี