แล้งจัดเตือนทั่วปท.รับมือ
20จว.วิกฤติ
ส่อขาดแคลนน้ำทำเกษตร
ฝนตกค่าเฉลี่ยต่ำกว่าเกณฑ์
เขื่อนหลักแห้ง-เลิกนาปรัง
เตือนแล้งสาหัส! สทนช.เตรียมแผนรับมือ 20 จว.น่าห่วง ส่อขาดน้ำทำการเกษตร ชี้ภาคกลาง 8 จว.ต้องหยุดทำนาปรังเด็ดขาด เผย 2 เขื่อนหลักภูมิพล-สิริกิติ์แห้ง งดส่งน้ำช่วย น่าห่วงปริมาณฝนตกทั่วประเทศแค่ 20-30% ด้าน“ลุ่มน้ำโขง”อ่วม เจอพิษ“เอลนีโญ่”ทำฝนไม่ตก
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และประธานการประชุมคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ที่มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดมาตรการรองรับพื้นที่ปลูกข้าวนาปีต่อเนื่องปี 2562 โดยไม่ให้กระทบต่อแผนจัดสรรน้ำฤดูแล้ง ปี 2562/63 เนื่องจากช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา มีการจัดสรรน้ำทั้งประเทศเกินแผน 1,350 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ได้แก่ ลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่จัดสรรน้ำเกินแผน 495 ล้าน ลบ.ม. ลุ่มน้ำภาคตะวันตกจัดสรรน้ำเกินแผน 579 ล้าน ลบ.ม.และลุ่มน้ำภาคใต้จัดสรรน้ำเกินแผน 549 ล้าน ลบ.ม. ขณะที่พื้นที่ปลูกข้าวนาปีจากข้อมูลดาวเทียมวันที่ 7 พฤศจิกายน 2562 พบว่า พื้นที่ปลูกข้าวนาปี 60.08 ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว 17.11 ล้านไร่ ทั้งนี้ ยังมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง 1.35 ล้านไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ในเขตชลประทาน 1.27 ล้านไร่ และที่เหลือเป็นพื้นที่นอกเขตชลประทาน
นายสมเกียรติกล่าวต่อว่า ขณะที่การประเมินพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง 2562/63 จากข้อมูลดาวเทียม ลุ่มน้ำเจ้าพระยา 21 จังหวัด มีพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง 229,803 ไร่ ส่วนพื้นที่เขตชลประทานมี 8 จังหวัดที่น้ำไม่พอทำการเกษตร ได้แก่ จ.สุพรรณบุรี อุทัยธานี ขอนแก่น ร้อยเอ็ด มหาสารคาม กาฬสินธุ์ บุรีรัมย์และจ.ชัยภูมิ จึงขอแจ้งให้ชาวนาทราบว่า ในพื้นที่ภาคกลางให้งดปลูกข้าวนาปรัง โดยเฉพาะพื้นที่ที่ต้องรับน้ำจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ จะไม่มีน้ำส่งมาให้ ถ้าปลูกไปจะเกิดความเสียหาย ส่วนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปลูกนาปรังได้บางพื้นที่ ขณะที่พื้นที่ทำนารอบสองได้ บางพื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ลำปาง สกลนคร นครพนม นครราชสีมา ชลบุรี และระยอง ส่วน ในพื้นที่นอกเขตชลประทาน มี 109 ตำบล 54 อำเภอ 20 จังหวัดที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำทำเกษตร
เลชาฯสทนช.กล่าวอีกว่า จากการวิเคราะห์ติดตามสภาพอากาศ และคาดการณ์ปริมาณฝนในเดือนพฤศจิกายนพบว่า ปริมาณฝนรวมในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง จะมีค่าต่ำกว่าค่าปกติ 30% ภาคตะวันออก กรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะมีปริมาณฝนรวมต่ำกว่าค่าปกติ 20% ส่วนภาคใต้ฝั่งตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก จะมีปริมาณฝนรวมใกล้เคียงค่าปกติ
ส่วนเดือนธันวาคมปริมาณฝนรวมทั้งประเทศต่ำกว่าค่าปกติ 50% และเดือนมกราคม 2563 ปริมาณฝนรวมทั้งประเทศต่ำกว่าค่าปกติ 50% ส่วนภาคใต้ฝั่งตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตกจะมีปริมาณฝนรวมใกล้เคียงค่าปกติ ขณะที่ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำมีทั้งสิ้น 53,316 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 65% แหล่งน้ำขนาดใหญ่ 38 แห่ง ปริมาณน้ำใช้การ 23,768 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 50% โดยพบว่ามีถึง 10 เขื่อนขนาดใหญ่ที่มีปริมาณน้ำใช้การน้อยกว่า 30% เช่น เขื่อน ภูมิพล เขื่อนกระเสียว เขื่อนจุฬาภรณ์ เขื่อนอุบลรัตน์ ขณะที่แหล่งน้ำขนาดกลางน้ำน้อย 74 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่บริเวณภาคเหนือ 28 แห่ง อีสาน 37 แห่ง
นายสมเกียรติยังกล่าวถึงสถานการณ์น้ำแม่น้ำโขงที่ลดลงช่วงฤดูแล้งว่า สถานการณ์เอลนีโญจะยังคงมีผลต่อภูมิภาคทำให้ไม่มีปริมาณฝนตกในพื้นที่ลุ่มน้ำโขง ซึ่งที่ประชุมพิจารณาทั้งมาตรการแก้ปัญหาระหว่างประเทศ โดยสทนช.เร่งดำเนินการใช้มาตรการด้านความร่วมมือระหว่างประเทศผลักดันและแก้ปัญหาแม่น้ำโขง แลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์น้ำแล้งในภูมิภาค และมาตรการในประเทศระยะเร่งด่วนป้องกันผลกระทบกับวิถีชีวิตประชาชนและการประกอบอาชีพใน 3 ประเด็นหลัก คือ 1.จัดหาแหล่งน้ำสำรองและขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล เพื่อสำรองน้ำอุปโภค-บริโภค 2.ให้กระทรวงมหาดไทยโดยจังหวัดริมแม่น้ำโขง สร้างการรับรู้ความเข้าใจแนวโน้มสถานการณ์วิกฤติน้ำ ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้น้ำภาคการเกษตรและประมงรับทราบ และ3..ให้กระทรวงคมนาคมกำหนดมาตรการขนส่งและการคมนาคมทางน้ำ รวมทั้งมาตรการรองรับการพังทลายของตลิ่งริมฝั่งโขงด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี