เรา (แนวหน้า) ทำใจเชื่อไม่ได้จริงๆ ตามคำวิพากษ์วิจารณ์ของนักการศึกษา และไม่ใช่นักการศึกษาที่พูดว่า การศึกษาไทยของเราล้มเหลวมาโดยตลอด ยิ่งบางคนอยากจะพูดให้มัน “มันส์ในอารมณ์” มากที่สุด ด้วยการสรุปว่าการศึกษาไทยเราใช้ไม่ได้มานานนับเป็นศตวรรษแล้ว แล้วก็ยกตัวอย่างให้เห็นว่า มันไม่ดีตรงไหนไม่ดีอย่างไร เป็นชิ้นๆ มาให้สังคมยอมรับในคำพูดและคำวิจารณ์ของตน ซึ่งเรา (แนวหน้า) อ่านแล้วและคิดแล้ว เห็นว่าสิ่งที่คนพูดและยกตัวอย่างถึง “สิ่งว่าไม่ดี” นั้น มันเป็นเพียงกระพี้ไม่ใช่แก่นหลักที่แท้จริงของการศึกษาของไทย
กระพี้มันเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงเวลาที่โลกหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปโดยตลอดมันไม่ใช่ตัวที่จะมาบอกว่า “มันคือฐาน”ที่เป็นราก หรือเป้าหมายในการปลูกฝังให้เกิดความเจริญงอกงามขึ้นมา
ถ้าเรามองถึงรากฐานที่ ประเทศไทยปูถึงเรื่องการศึกษาเอาไว้ตลอดมา ต้องยอมรับว่า รากฐานเรามั่นคงและปักรากลึกลงไปพอที่จะช่วยเหลือตัวเองให้อยู่รอดได้ ไม่ต้องไปขุดมันทิ้งแล้ว ฝังรากใหม่ขึ้นมาให้เกิดการเริ่มต้นใหม่หรอก ความดีความมีคุณค่าของรากฐานที่ปลูกฝังการศึกษาให้กับคนไทยมานับเป็นร้อยปีพิสูจน์ให้เห็นได้จากความอยู่รอดและความเจริญงอกงามของประเทศไทย
ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีกี่สิบคน ทุกคนล้วนแต่ร่ำเรียนมาจากพื้นฐานของการศึกษาไทยทั้งนั้น คนเก่ง คนกล้า อัจฉริยะทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ก็ล้วนแต่เป็นต้นไม้ที่กล้าแข็งอันเริ่มมาจากแก่นแท้ของรากฐานของการศึกษาไทยนั่นเอง
เพราะฉะนั้นวันนี้หรือวันข้างหน้าต่อๆ ไป อยากให้นักวิพากษ์วิจารณ์ด้านการศึกษา ก่อนจะให้การศึกษาไทย ถอนรากถอนโคน เปลี่ยนแปลงการศึกษาด้วยการเริ่มต้นใหม่ ขออย่าได้คิดล้มกระดานเก่าหรือถอนรากถอนโคนเพื่อการเริ่มต้นใหม่อีกเลย หากจะเพิ่มเติมเปลือกหรือกระพี้เข้าไปใหม่เพื่อให้คงทนหรือรับได้กับสภาพที่เปลี่ยนแปลงของโลกก็ขอให้มุ่งคิดในเรื่องเปลือกหรือกระพี้เท่านั้น อย่าเหมารวมไปเป็นก้อนเดียวกันว่าการศึกษาไทยล้มเหลวต้องทำการปฏิวัติหรือปฏิรูปเสียใหม่ เลิกได้แล้ว สำหรับการปฏิวัติปฏิรูป เพราะมันไม่ใช่เพียงแค่ทำให้เสียทรัพย์ เสียเวลา และเสียโอกาสที่เราสั่งสมมานานแสนนานเท่านั้นแต่มันยังทำให้เราต้องเริ่มต้นเป็นเด็กแรกเกิดอยู่ตลอดเวลา แล้วเมื่อไร เราจะโตเต็มวัยเสียที?
เมื่อไม่นานที่เพิ่งผ่านไปนี้คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดการสัมมนาวิชาการอุดมศึกษาเรื่อง “The SmarterFuture of Higher Education” ขึ้นมีนักการศึกษาหลายท่านที่แสดงความคิดเห็นถึงเรื่องการศึกษาไทย “แนวหน้า” ขอนำแนวคิดของแต่ละท่านมานำเสนอให้ผู้อ่านได้รับทราบกัน อีกครั้ง หากเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โอกาสที่ทุกคนจะแสดงความเห็นพ้องหรือเห็นแย้งทำได้ตลอดเวลาในสื่อโซเซียลที่กำลังฮอตฮิตอยู่ในเวลานี้
ศ.ดร.พิริยะ ผลพิรุฬห์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวในประเด็น “มหาวิทยาลัยก้าวสู่อนาคต” โดยเน้นย้ำถึงหน้าที่ของสถาบันอุดมศึกษาไทยในฐานะผู้ผลิตบุคลากร งานวิจัย นวัตกรรม องค์ความรู้ต่างๆ และการรับใช้สังคม ซึ่งยังไม่มีประสิทธิภาพในการแข่งขัน และไม่มีความสอดคล้องทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ เนื่องจากมหาวิทยาลัยเองไม่มีระบบแก้ปัญหาหรือการแสดงความรับผิดชอบที่ดี (accountability) ธรรมาภิบาล ในการเลือกบุคลากรที่เข้ามาบริหารที่ไม่ชัดเจน รวมไปถึงความท้าทายใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยีและความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งมหาวิทยาลัยจะต้องปรับตัวให้ทัน ปัญหาของมหาวิทยาลัยก็คือการที่มหาวิทยาลัยไม่เชื่อมต่อ (connect) กับภายนอก อาทิ การผลิตบัณฑิตที่ไม่ตรงกับความต้องการของนายจ้าง งานวิจัยที่ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง เพราะสิ่งเหล่านี้คือ การเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มคุณภาพ เพิ่มความเร็ว และการลดต้นทุน
ดร.ภัทรชาติ โกมลกิติ ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า โจทย์สำคัญของแวดวงอุดมศึกษาไทยคือการปรับตัวของมหาวิทยาลัยและอาจารย์ผู้สอนให้ทันกับพฤติกรรมและความคาดหวังของคนรุ่นใหม่ที่เป็น Gen Z และการเปลี่ยนแปลงในยุค Digital Disruption ที่การเข้ามาเรียนในระบบเริ่มลดน้อยลง ตัวช่วยคือการศึกษาข้ามศาสตร์ เพื่อให้ผู้เรียนเข้าถึงทักษะและเนื้อหาใหม่ๆที่มีความหลากหลายได้ มหาวิทยาลัยจะต้องทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการด้านการศึกษาแบบตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ให้คนทุกเพศทุกวัยสามารถเข้าถึงการเรียนแบบไม่จำกัดช่วงเวลา อย่างโครงการ Chula MOOC และ Chula MOOC Achieve คอร์สเรียนออนไลน์ของจุฬาฯ ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ
คุณวงศ์ทนงค์ ชัยณรงค์สิงห์ ผู้บริหาร บริษัท เดอะ สแตนดาร์ด จำกัดกล่าวในประเด็น “คนรุ่นใหม่แห่งอนาคต”โดยระบุถึงปัญหาของนิสิต นักศึกษาในปัจจุบันว่าเผชิญกับภาวะไม่มีความสุขในการเรียน การค้นหาความถนัดของตัวเองไม่เจอ ซึ่งเป็นสภาพที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยจากอดีต ในทัศนะของตนมองว่ามีสาเหตุมาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ครอบครัว ครู อาจารย์ และค่านิยมทางสังคมต่อชื่อเสียงของสาขาวิชาและมหาวิทยาลัยที่ปิดกั้นความคิดและอิสรภาพของเด็กในการเลือกเรียน ทางแก้คือการเปิดโอกาสให้เด็กได้ออกแบบชีวิตของตัวเองว่าอยากมีชีวิตแบบไหนตามธรรมชาติของเด็กแต่ละคน ไม่ต้องทนอยู่กับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ชอบไปทั้งชีวิต โดยอ้างอิงปรัชญา “อิคิไก”หรือ “เหตุผลในการมีชีวิตอยู่” ของญี่ปุ่น ได้แก่ การได้ทำในสิ่งที่รัก การได้ทำในสิ่งที่ทำได้ดี การได้ทำในสิ่งที่สร้างรายได้ และการทำในสิ่งที่โลกและสังคมต้องการ การศึกษาเรียนรู้ของคนส่วนใหญ่เกิดขึ้นนอกรั้วโรงเรียน เพราะสิ่งที่จำเป็นกว่าสถาบันการศึกษาคือการสร้างเครือข่ายใหม่ๆ ที่เปิดพื้นที่ให้ผู้คนและออกแบบมาเพื่อกระจายโอกาสในการเรียนรู้อย่างเท่าเทียม และทางเลือกที่น่าสนใจก็คือการศึกษาที่มีการออกแบบตามความต้องการของแต่ละบุคคล (Customized Education) โดยความร่วมมือกันของทุกฝ่าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี