ที่เมียนมาอีกสักตอนเพราะมีเรื่องน่าสนใจ กล่าวคือ ครั้งหนึ่งท่านรองอธิบดีกรมเกษตร พาผมไปชมโรงเรียนฝึกอาชีพเกษตรกรรมในเขตตะนาวศรีที่รับเด็กนักเรียนจากทั่วประเทศมาเรียนฟรี พักฟรีกินฟรี และเมื่อจบก็จะสามารถมีสิทธิ์ไปสอบเข้าทำงานที่กระทรวงเกษตรฯ ปศุสัตว์ และชลประทาน ของเขาได้ ความจริงโรงเรียนแบบนี้ ท่านรองอธิบดีของเมียนมาเคยพาผมไปเยี่ยมชมมาครั้งหนึ่งตั้งอยู่ที่รัฐยะไข่ ลักษณะก็คล้ายๆ กับโรงเรียนเกษตรกรรมที่ประเทศไทยเคยมีนั่นแหละครับ ในสมัยก่อนประเทศไทยเคยมีโรงเรียนเกษตรกรรม สังกัดกรมอาชีวศึกษามากมาย และต่อมาส่วนหนึ่งก็ยกระดับเป็นวิทยาลัยเกษตรฯ และก็ยกกันต่อไปเป็นสุดท้าย คือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ไม่เหลือกลิ่นเชื้อเกษตรเก่าอยู่เลย ส่วนบางแห่งยกไปไม่ถึง ก็เปลี่ยนเป็นวิทยาลัยเกษตรและอาชีวศึกษาอะไรทำนองนี้ งงกันไปหมด
โรงเรียนเกษตรประเภทนี้ของเมียนมา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการหากแต่ขึ้นอยู่กับกระทรวงเกษตรฯ สังกัดกรมเกษตรของท่านรองอธิบดี ที่เป็นเพื่อนสนิทของผมนี่แหละครับ จะว่าไปการมีสถาบันการศึกษาขึ้นตรงกับกรมในกระทรวงเกษตรฯนี้ หลายคนอาจไม่ทราบว่า บ้านเราเมืองไทยสมัยก่อนก็เคยมีเคยทำครับ เราเคยมีโรงเรียนข้าว สังกัดกรมการข้าวมีโรงเรียนการสัตว์ สังกัดกรมปศุสัตว์ โรงเรียนการชลประทาน สังกัดกรมชลประทาน แต่ตอนหลังเขาปรับโครงสร้างเอาไปยำรวมกันและเข้าไปสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ครับ ในเมียนมาที่ผมไปแวะดู พวกครูใหญ่ หรือครูผู้สอน ล้วนแล้วแต่สังกัดกระทรวงเกษตรฯ ทั้งสิ้นเด็กนักเรียนก็มาจากรัฐหรือเขตต่างๆ โดยผ่านวิธีคัดเลือกกันมาทั้งผู้หญิงและผู้ชาย นักเรียนพวกนี้จะมีหอพักอยู่กันแบบห่างไกลความเจริญมาก เรียกว่าอยู่ในป่าก็ว่าได้เพราะสถานที่ตั้งโรงเรียนแบบนี้ต้องเดินทางเข้าไปในป่าลึกมาก ถามว่าวันๆ ทำอะไร นอกจากเรียนแล้วก็กิจกรรมการฝึกปฏิบัติ แปลงพืช เลี้ยงสัตว์ ซึ่งส่วนหนึ่งก็นำมาเป็นอาหารกินอยู่กันในโรงอาหาร แต่ที่ผมต้องการเล่าให้ฟัง คือ การมุ่งเน้นเรียนภาษาอังกฤษของเขาครับ เพราะหลังจากที่เมียนมากลับเข้าสู่ระบบประชาธิปไตย ทางการได้ฟื้นฟูเรื่องภาษาอังกฤษขนานใหญ่ หลังจากที่คนเมียนมาเคยใช้ภาษาอังกฤษได้เก่งแต่ดาวน์ลงไป หลังจากได้เอกราชจากประเทศอังกฤษ คือหลังจากได้รับอิสรภาพ ก็ชาตินิยม ไม่เอาภาษาอื่น ที่ผมทราบเพราะเมื่อเขาไปในห้องนักเรียนเพื่อชมการเรียนการสอน ปรากฏว่าตำราที่นักเรียนเรียนอยู่นั้น เป็นตำราภาษาอังกฤษครับ ไม่มีภาษาเมียนมาเลย อันนี้น่าทึ่งมาก เพราะนี่เป็นกลยุทธ์หรือวิธีที่จะทำให้คนเก่งภาษาอังกฤษได้โดยธรรมชาติ แม้จะไม่พูดสอนเป็นภาษาอังกฤษตลอดเวลา เพราะผมเห็นเขาสอนเป็นภาษาเมียนมา แต่เด็กนักเรียนก็น่าจะคุ้นชินกับภาษาอังกฤษมากกว่าอย่างอื่น เพราะใช้ตำราตลอดเวลา อันนี้น่าสนใจครับ
เด็กนักเรียนพวกนี้เมื่อจบไปคงจะเป็นระดับอนุปริญญา ถ้ารับราชการในด้านการเกษตรก็จะคงบรรจุในตำแหน่งที่บ้านเราก็มี คือ เกษตรตำบล เห็นว่าในเมียนมาก็ต้องการเจ้าหน้าที่ประเภทนี้จำนวนมากอยู่ เพราะเป็นสังคมเกษตรกรรมเหมือนเมืองไทยแต่สำหรับพวกนักวิชาการเกษตรที่สูงขึ้นไปในระดับปริญญาตรีนั้น ในเมียนมามีมหาวิทยาลัยทางด้านเกษตรอยู่ 1 แห่ง ตั้งอยู่ใกล้กรุงเนปิดอว์ ที่ว่าตั้งอยู่ใกล้เมืองหลวงนี้คงไม่ใช่เพิ่งตั้งหรอกครับ มหาวิทยาลัยนี้น่าจะตั้งสมัยปี 1973 ชื่อว่า มหาวิทยาลัยเกษตรเยซินจึงมีมาก่อนตั้งกรุงเนปิดอว์นานอยู่ มหาวิทยาลัยนี้จะคล้ายๆ กับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ของไทยสมัยก่อน คือ เรียนเฉพาะสาขาวิชาทางด้านเกษตร เจ้าหน้าที่ที่ทำงานในกระทรวงเกษตรฯ เมียนมา ทั้งนักวิชาการและผู้บริหารต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่จบมาจากมหาวิทยาลัยเยซินนี้ทั้งสิ้น เพราะไม่มีที่อื่น เว้นแต่บางคนที่ไปเล่าเรียนมาจากต่างประเทศท่านรองอธิบดีกรมเกษตรเพื่อนผมก็จบจากที่นี่ ตัวอธิบดีเจ้านายกรมแกก็เคยเป็นรุ่นน้องของแกหลายปีจนเกือบจะเรียนไม่ทันกัน ผู้บริหารกระทรวงเกษตรไทยเราที่ผ่านมา ก็มักเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องเรียนมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน มาด้วยกัน มีบ่อยที่บางกรมก็ได้รุ่นน้องมาเป็นเจ้านาย เป็นอธิบดี ด้วยสปิริตและประเพณีอันดีงามส่อแสดงถึงการเคารพรักในรุ่นพี่ คนเข้าเรียนทีหลังต้องเรียกผู้เข้าเรียนก่อนว่า “พี่” ทุกครั้งไปแต่ก็มีบางครั้งที่ผมเห็นรุ่นน้องที่เป็นอธิบดีขู่ตะคอกดุด่ารุ่นพี่ที่เผอิญมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเสียงดังเสียจนเดาไม่ออกว่า จริงๆ แล้วยังเคารพรักกันอยู่หรือเปล่า
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี