กรมชลผันนาแม่กลอง
เติมช่วยลุ่มเจ้าพระยา
รับมือวิกฤติภัยแล้ง
หวั่นสาหัสเท่าปี’58
กระชังปลาลพบุรีเจ๊ง
“เฉลิมชัย” ชี้วิกฤติแล้งรุนแรงเท่าปี’58 ห่วงลุ่มเจ้าพระยาน้ำต้นทุนต่ำ สั่งการด่วนให้กรมชลฯผันน้ำลุ่มแม่กลองมาเติมเป็น 2,000 ล้านลบ.ม. เล็งเสนอมาตรการสร้างอาชีพเสริมช่วยเกษตรกร หลังประกาศห้ามปลูกข้าวนาปรังยันบริหารจัดการน้ำได้ไร้ปัญหาขาดแคลน ขณะที่พิจิตรแม่น้ำยมช่วงสามง่ามแห้งขอดลพบุรีผู้เลี้ยงปลากระชังกว่า 120 รายเจ๊งยับ ระดับน้ำแม่น้ำบางขามลดต่ำสุดรอบ10ปี กระชังเกยตื้น ปลาน๊อคน้ำ
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์เปิดเผยถึงสถานการณ์ภัยแล้ง ขณะนี้ในหลายพื้นที่ว่า มีบางพื้นที่จะรุนแรงเท่าปี 2558 ที่เกิดภาวะแห้งแล้งที่สุดของประเทศ อย่างไรก็ตาม สำหรับปีนี้ พื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา มีปริมาณน้ำต้นทุนน้อยมาก ตนจึงสั่งการด่วน ให้กรมชลประทาน ผันน้ำแม่กลอง จากตะวันตก จากแผนเดิม800ล้านลบ.ม. เพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ล้านลบ.ม.มาเพิ่มให้ลุ่มเจ้าพระยา มีช่องทางนำน้ำมาได้สะดวก โดยให้เพิ่มเครื่องสูบน้ำ เพิ่มเครื่องมือ ไว้ในทุกพื้นที่เพื่อแก้ปัญหาได้ทันท่วงที ยืนยันว่าจะไม่มีปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค รักษาระบบนิเวศ ป้องกันน้ำเค็มเข้าระบบประปา
ห้ามชาวนาปลูกข้าวนาปรัง
“ผมสั่งย้ำกรมชลประทานในการบริหารจัดการน้ำ ต้องไม่ขาดแคลน น้ำกินใช้ ส่วนเกษตรกร ได้ประกาศห้ามปลูกข้าวนาปรัง จะหาอาชีพเสริมให้เพื่อมีรายได้ โดยหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมมาตรการช่วยเหลือ บูรณาการทำงานบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน เชื่อมั่นว่าจะผ่านพ้นสถานการณ์ภัยแล้งไปได้” รมว.เกษตรฯกล่าว
แม่น้ำสะแกกรังวิกฤติแพแกยตื้น
วันเดียวกัน น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรฯ พร้อมเจ้าหน้าที่โครงการชลประทานอุทัยธานี ลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์น้ำในแม่น้ำสะแกกรัง ที่ปริมาณน้ำลดต่ำลงมาก ทำให้เรือนแพในลำน้ำเกยตื้น พร้อมเร่งสั่งการให้เพิ่มระดับน้ำในแม่น้ำสะแกกรัง บรรเทาความเดือดร้อนให้กับชุมชนชาวแพสะแกกรัง โดยระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ วันละ 20 ล้านลูกบาศก์เมตร เนื่องจากแม่น้ำสะแกกรังนั้น รับน้ำจาก เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน โดยน้ำจะไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อนไหลเข้าสู่ประตูประพาสต้น ประตูขุมทรัพย์ แล้วจึงไหลลงสู่แม่น้ำสะแกกรัง พร้อมประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือให้เกษตรงดทำนาในช่วงนี้ เพื่อให้สามารถมีน้ำหล่อเลี้ยงในแม่น้ำสายหลักให้ได้นานที่สุด
โดยโครงการชลประทานอุทัยธานี ได้รายงานสถานการณ์น้ำในแม่น้ำสะแกกรัง วัดที่หน้าศาลากลางอุทัยธานีมีระดับน้ำสูงกว่าเขื่อนเจ้าพระยา 0.15 เมตร ระดับน้ำประตูคลองขุมทรัพย์และเสด็จประพาสต้นระดับน้ำสูงกว่าระดับหน้าศาลากลางฯ 10 ซม.
นายกฯลงพื้นที่ชัยภูมิ25ธ.ค.
นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลและพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ห่วงใยเกษตรกร ได้สั่งการคณะรัฐมนตรีและข้าราชการทุกคนที่เกี่ยวข้องกับงปัญหาต่างๆให้ลงมาดูแลแก้ไขบูรณาการร่วมกับพื้นที่ อย่างเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภัยแล้ง หนี้สิน ราคาพืชผล และการส่งเสริมฟื้นฟูอาชีพให้มีรายได้อยู่ดีกินดีอย่างมั่งคั่งยั่งยืนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ทั้งนี้ วันที่ 25 ธันวาคม นายกฯจะลงตรวจพื้นที่รับฟังปัญหาและความต้องการของประชาชนชาวอิสานที่จ.ชัยภูมิ และยืนยันทำให้พี่น้องอยู่ดีกินดี มีเงินใช้จ่าย ราคาพืชผลการเกษตรสูงขึ้น
สามง่ามแม่น้ำยมลดฮวบ
ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ภัยแล้งเริ่มลุกลามไปหลายพื้นที่ และเริ่มความรุนแรงมากขึ้น อย่างที่ลุ่มแม่น้ำยมที่ไหลผ่านอ.สามง่าม จ.พิจิตร ปริมาณน้ำในแม่น้ำยมลดระดับลงอย่างต่อเนื่องจนเข้าสู่ระดับที่น่าเป็นห่วง ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ต้องปรับระดับท่อสูบน้ำให้ต่ำลง เพื่อที่เกษตรกรสามารถสูบน้ำไปใช้เพาะปลูกข้าวได้ ซึ่งขณะนี้ในพื้นที่มีการทำนาปรังกว่า 30,000 ไร่ อยู่ในช่วงกำลังเจริญเติบโตและต้องการน้ำไปหล่อเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ สำหรับพื้นที่ลุ่มแม่น้ำยม สามารถทำนาปลูกข้าวได้เฉพาะช่วงฤดูกาลนาปรังเท่านั้น เนื่องจากเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำหลาก รวมถึงได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ทำให้ไม่สามารถทำนาเพาะปลูกข้าวที่เป็นพืชเศรษฐกิจสร้างรายได้หลักให้กับชาวนาได้
แม่น้ำบางขามบ้านหมี่แห้งสุดรอบ10ปี
เช่นเดียวกับ ที่อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ภัยแล้งขยายวงกว้างต่อเนื่อง ปริมาณน้ำในแม่น้ำบางขาม ระดับน้ำต่ำสุดในรอบ 10 ปี ปริมาณน้ำตลอดสายเหลือไม่ถึงร้อยละ 10 ของลำน้ำ ซึ่งแม่น้ำสายนี้เป็นเสมือนเส้นเลือดใหญ่ ที่ใช้หล่อเลี้ยงใน 5 ตำบลของอ.บ้านหมี่ โดยตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาระดับน้ำลดลงต่อเนื่อง จนแห้งขอดบางช่วงแห้งจนเห็นเนินดินโผล่ขึ้นมากลางแม่น้ำชัดเจน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลุ่มเกษตรกรผู้ทำการประมงตลอดสายน้ำ โดยเฉพาะผู้เลี้ยงปลาในกระชัง หมู่ที่ 7 ต.มหาสอน และหมู่ที่ 9 ต.บางผึ้ง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรีประมาณ 120 ราย ที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เนื่องจากระดับน้ำ ในแม่น้ำบางขามลดระดับรวดเร็ว และเริ่มแห้งขอด ทำให้กระชังเลี้ยงปลาของเกษตรกรเกยตื้น ปลาที่เลี้ยงไว้ในกระชังทนอากาศร้อนไม่ไหว มีอาการน๊อกน้ำ เนื่องจากน้ำไม่ไหลเวียน ออกซิเจนในน้ำไม่เพียงพอ ส่งผลให้บางกระชัง มีปลาตายแบบยกกระชัง ทำให้เกษตรกรที่เลี้ยงปลากระชังทั้งหมด ต่างพากันขาดทุนย่อยยับ
กระชังปลาเจ๊งวอนรัฐปล่อยน้ำช่วย
น.ส.อุไร เท้งนาวี กำนันตำบลมหาสอน อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ตัวแทนเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาในกระชัง ในแม่น้ำบางขามเผยว่า ปีนี้แล้งมาเร็วกว่าทุกปี ทำให้น้ำในแม่น้ำบางขามลดระดับเร็ว กระชังเลี้ยงปลาเกยตื้น ทำให้ปลาที่เลี้ยงไว้ในกระชังปรับตัวไม่ทันทนอากาศร้อนไม่ไหวลอยตายยกกระชังรวมๆประมาณกระชังละ 500-600 ตัว ส่วนใหญ่เป็นปลาทับทิม ปลานิล ปลาเทโพ เกษตรกรบางรายพยายามที่จะจับไปขาย เพื่อเรียกทุนคืนบ้าง แต่ไม่ทัน เนื่องจากต้องรอคิวกับแม่ค้าที่จะมาซื้อปลา บางกระชังจมอยู่ใต้โคลนจึงขอฝากไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอให้เร่งปล่อยน้ำมาช่วยเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาในกระชังที่กำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างเร่งด่วน
ทหารระดมเครื่องจักรลอกคลอง
ด้านพ.อ.อมรินทร์ เทศนธรรม หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 14 สำนักงานพัฒนาภาค 1 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนากองบัญชาการกองทัพไทย สั่งการให้กำลังพลทหาร ด้านการบรรเทาสาธารณภัย นำยุทโธปกรณ์ ออกช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนในพื้นที่ หมู่ 6 ต.หนองเสม็ด อ.เมืองตราด หลังมีหน่วยงานร้องขอกำลังพลพร้อมรถแบ็คโฮ 2 คันสนับสนุน ขุดลอกคลองเสียส่วย ระยะทาง 2,250 เมตร ซึ่งอยู่ในเขตติดต่อ ต.หนองเสม็ด และต.หนองคันทรง อ.เมืองตราด เพื่อเปิดทางน้ำรองรับการระบายของน้ำช่วงน้ำหลาก นอกจากนี้ ยังขุดลอกคลองเปรม ระยะทาง 2,320 เมตรอีกด้วย
ขณะที่ ต.แหลมกลัด อ.เมือง จ.ตราด อ่างเก็บน้ำสะพานหิน ที่การประปาอ.คลองใหญ่ต้องใช้น้ำในอ่างนี้ผลิตประปา ระดับน้ำยังมีเพียงพอ แต่ระดับน้ำลดลงเหลือเพียงระดับพื้นขอบอ่างและไม่ล้นสันเขื่อนออกมา แนวโน้มลดลงต่อเนื่อง เพราะไม่มีฝนตกในระยะนี้
น.ส.มยุรี ป้องหมู่ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 6 กล่าวว่า พื้นที่คลองเสียส่วย เชื่อมต่อ 3 ตำบลคือ ต.หนองเสม็ด หนองคันทรง และวังกระแจะ ความเดือดร้อนเกิดจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ต่ำ มีกอจากวัชพืชชนิดต่างๆปิดขวางกั้นทางน้ำ ไม่มีการขุดลอกคลองมานานร่วม 50 ปี ส่งผลให้ในทุกๆปีช่วงฤดูฝนเกิดปัญหาน้ำท่วม เพราะน้ำระบายไม่ทัน ประกอบกับปัจจุบันพื้นที่โดยรอบ มีการถมดินเพื่อสร้างสิ่งปลูกสร้างปิดขวางทางน้ำหลายจุด ทำให้ชาวบ้านละแวกดังกล่าวเดือดร้อน
บุรีรัมย์เร่งผันน้ำทำประปา
วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 5 ชลประทานจังหวัดบุรีรัมย์ สำนักส่งน้ำและบำรุงรักษาลำนางรอง และเทศบาลตำบลประโคนชัย เดินหน้าสูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำลำปะเทีย อ.ละหานทราย ผ่านคลองธรรมชาติและร่องกลางถนน ไปเติมยังอ่างเก็บน้ำสนามบิน อ.ประโคนชัย รวมระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร เพื่อสำรองไว้ผลิตประปา
เนื่องจากปัจจุบันน้ำในอ่างเก็บน้ำสนามบิน ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบที่ใช้ผลิตประปาหล่อเลี้ยงสถานที่ราชการ โรงพยาบาล และประชาชนในเขตเทศบาลประโคนชัย และตำบลใกล้เคียงกว่า 4,700 ครัวเรือน มีปริมาณต่ำคาดว่าหากไม่สูบผันน้ำเข้ามาเติมจะใช้ผลิตประปาได้อีกไม่ถึงเดือน ทั้งนี้ยังได้ปรับลดแรงดันน้ำจากวันละ 24 ชั่วโมง เหลือวันละ 13 ชั่วโมง เพื่อยืดระยะเวลาการใช้น้ำให้ได้มากที่สุด ลดปัญหาวิกฤตขาดแคลนน้ำ
นายบุญจันทร์ ทองแถม ปลัดเทศบาลตำบลประโคนชัย กล่าวว่า ขณะนี้น้ำในอ่างเก็บน้ำสนามบิน ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบที่ใช้ผลิตประปาหล่อเลี้ยงทั้งสถานที่ราชการ โรงพยาบาล และประชาชนในเขตเทศบาลประโคนชัย เพียงแหล่งเดียว มีปริมาณน้ำลดต่ำอยู่ในขั้นวิกฤติ ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องทำการสูบผันน้ำจากลำปะเทีย มาสำรองไว้เพื่อใช้ผลิตประปาไม่ให้เกิดปัญหาวิกฤติขาดแคลนน้ำ
โดยตั้งเป้าจะสูบดึงน้ำจากลำปะเทีย มาเติมในอ่างเก็บน้ำสนามบินประมาณ 1.4 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่เนื่องจากระยะทางที่จะสูบผันน้ำมาต้องไหลผ่านคลองธรรมชาติ และร่องกลางถนน ซึ่งค่อนข้างมีอุปสรรคและระยะทางไกล ก็อาจจะต้องสูญเสียน้ำไปบ้างระหว่างทาง แต่ก็คาดว่าจะมีน้ำไหลเข้าอ่างประมาณ 700,000 ลูกบาศก์เมตร ก็จะทำให้มีน้ำผลิตประปาได้ไปจนถึงเดือน เม.ย.หรือในฤดูฝนปีหน้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี