ฉุนคลิปหลุดสั่งเบรกคดี
‘โจ๊ก’ชนแหลก
เปิดหน้าปะทะ‘จักรทิพย์’
ปมล้มซื้อ‘ไบโอเมทริกซ์’
‘วิระชัย’รับโทรคุยผบ.ตร.
แค่รายงานความคืบหน้า
เสรีพิศุทธ์ชี้จัดฉากยิงถล่มรถ
“วิระชัย” ชี้พบอีก 6 หัวกระสุนรถบิ๊กโจ๊ก อ้างต่อสาย ผบ.ตร.จริง แต่ไม่รู้ปมคลิปหลุดถูกสั่งเบรกทำคดี ผบช.สตม.ออกโรง ยันไบโอเมทริกซ์เจ๋ง ด้าน “บิ๊กโจ๊ก” เปิดหน้าท้าชน “บิ๊กแป๊ะ” ลั่นจำเป็นต้องทำ
เมื่อวันที่ 9 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าจากเหตุ 2 คนร้ายขับและซ้อนจักรยานยนต์ใช้อาวุธปืนยิงใส่รถยนต์ยี่ห้อเลกซัส สีขาว ทะเบียน 9 กจ 351 กรุงเทพมหานคร ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือบิ๊กโจ๊ก ที่ปรึกษาพิเศษนายกรัฐมนตรี และอดีต ผบช.สตม.ซึ่งจอดไว้หน้าร้านสาลิกา มาซาจ ถนนสุรวงศ์ เขตบางรัก กทม.เมื่อช่วงค่ำวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา โดยทาง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ออกมาเปิดเผยถึงปมเหตุว่าน่าจะมาจากกรณีที่ได้เปิดโปงการทุจริตโครงการจัดซื้อจัดจ้างเครื่องพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (ไบโอเมทริกซ์) และโครงการรถตรวจการไฟฟ้า มูลค่านับพันล้านบาท ว่า ทาง พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร.รักษาราชการแทน ผบ.ตร.ได้เข้าตรวจสอบการผ่าพิสูจน์รถยนต์คันเกิดเหตุของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เพื่อหาหัวกระสุนและหลักฐานอื่นๆ
“วิระชัย”ชี้รู้เส้นทางคนร้ายแล้ว
พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวว่า ขณะนี้ทางกองพิสูจน์หลักฐาน ได้เร่งดำเนินการนำพยานหลักฐานเข้าสู่ฐานข้อมูล ส่วนการติดตามตัวคนร้ายนั้นได้สั่งการให้ทางกองบังคับการตำรวจนครบาล 5 (บก.น.5) และ บก.น.6 ร่วมกับตำรวจ บก.สส.บช.น.แบ่งหน้าที่กันในการสืบสวนติดตามคนร้าย ซึ่งมีความคืบหน้าไปมาก โดยพอทราบเส้นทางของคนร้ายแล้ว หลังจากนี้จะมีการประชุมติดตามความคืบหน้าทุกวัน จนกว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.จะเดินทางกลับมา
พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวถึงกรณีรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ สีดำ ที่พบว่าขับวนเข้ามาในจุดเกิดเหตุ ห้วงเวลาก่อนจะเกิดเหตุคนร้ายยิงใส่รถยนต์ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ ยังไม่สามารถตอบได้ สำหรับการสอบปากคำ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ได้ระบุถึงกลุ่มที่มาก่อเหตุ ก็ถือเป็นพยานคนหนึ่งที่ให้ปากคำ โดยพนักงานสอบสวนจะต้องแสวงหาพยานหลักฐานให้ครอบคลุมทั้งหมด
พบหัวกระสุนรถบิ๊กโจ๊กเพิ่มอีก6
รอง ผบ.ตร.เปิดเผยภายหลังร่วมตรวจพิสูจน์รถยนต์ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ว่า ทางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตรวจพบหัวกระสุนปืนเพิ่มอีก 6 หัว รวมกับที่พบก่อนหน้านี้ เป็น 8 หัว แต่ยังไม่ยืนยันว่าเป็นกระสุนขนาด .38 หรือ 9 มม.แต่หัวกระสุนปืนดังกล่าวค่อนข้างสมบูรณ์ และใช้เป็นหลักฐานสำคัญในทางคดีได้ หลังจากนี้ก็จะนำหัวกระสุนทั้งหมดตรวจผ่านระบบไอบิส (ibis) เพื่อตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์หาข้อมูลของเกลียวหัวกระสุนปืน ว่าถูกยิงจากอาวุธปืนชนิดใด และกระบอกใด คาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน ส่วนจะมีใครอยู่เบื้องหลัง เป็นการสร้างสถานการณ์หรือแค่ข่มขู่หรือไม่นั้น ต้องรอการตรวจสอบให้แน่ชัด
รับโทร.คุยผบ.ตร.ปัดเบรกทำคดี
พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวยอมรับว่าได้มีการพูดคุยทางโทรศัพท์กับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ เพื่อรายงานความคืบหน้าทางคดีจริง แต่ปฏิเสธไม่ขอตอบประเด็นที่ถูก ผบ.ตร.สั่งเบรกให้ทำคดีนี้หรือไม่ ส่วนกรณีคลิปเสียงหลุดซึ่งคล้ายกับเสียงตนเองกับ ผบ.ตร.นั้น ระบุว่ายังไม่ได้ฟัง และขอเวลาตรวจสอบก่อน ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นการดักฟัง เพราะโทรศัพท์ปัจจุบันสามารถทำได้ง่าย
รองโฆษกตร.ยันเสียงบิ๊กแป๊ะจริง
ด้าน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กล่าวถึงประเด็นที่สื่อได้นำเสนอเกี่ยวกับคลิปเสียงสนทนาของชาย 2 คน ว่าขอชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าวว่า ขณะที่มีการสนทนากันตามเสียงในคลิปนั้น ตนก็นั่งอยู่ด้วย ซึ่งเป็นบทสนทนาระหว่างท่าน ผบ.ตร.กับ พล.ต.อ.วิระชัย จริง ซึ่งเป็นการกำชับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บังคับบัญชา ระดับ ตร.ตามปกติ ในการทำงานให้เป็นพี่เลี้ยง กำกับดูแล ให้การสนับสนุน และปล่อยให้หน่วยที่รับผิดชอบได้ดำเนินการตามหน้างานตามปกติไป
ซัดคนอัดคลิปเสียงมีเจตนาแฝง
พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวต่อว่า ในคดีนี้ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ดำเนินการสืบสวนสอบสวนตามขั้นตามปกติ และได้รายงานให้ท่าน ผบ.ตร.ทราบเป็นระยะๆ ซึ่งท่านได้กำชับมาโดยตลอดในที่ประชุมบริหาร ตร.สำหรับการอัดคลิปเสียง และมีการปล่อยเสียงสนทนาในโซเชียลมีเดีย ก็ไม่ทราบว่าใครอัดและอยากรู้เหมือนกันว่าใครทำ เพราะโดยมารยาทแล้ว การสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างบุคคลนั้น ไม่ควรอัดบทสนทนาเอาไว้ ยกเว้นคู่สนทนาจะมีเจตนารมย์แอบแฝงในทางที่ไม่ดีกับอีกฝ่ายหนึ่ง
ทั้งนี้ สำหรับคลิปเสียงดังกล่าวได้มีรายการโทรทัศน์จากหลายสถานีข่าวนำไปเผยแพร่ ซึ่งมีเสียงนายตำรวจคนที่ 1 โทรศัพท์จากต่างประเทศ ขอให้นายตำรวจคนที่ 2 ที่อยู่ในประเทศไทย เบรกการทำงานลักษณะดุ หรือปรามว่าอย่าเข้าไปยุ่งในคดีนี้ มีใจความว่า “อย่าให้ผู้บังคับบัญชาเขาระแวง รอง ผบ.ตร.หลายคนเขารู้” ส่วนนายตำรวจคนที่ 2 พูดว่า “ที่ต้องลงไปดูเรื่องนี้เพราะกลัวชาวบ้านเขาจะมองว่าตำรวจไม่ทำ อะไรเลย” นายตำรวจคนที่ 1 จึงตอบไปว่า “อย่าไปรับลูกสิ เสร็จแล้วก็พอ ไม่ต้องไปนั่งโต๊ะแถลงข่าว”
“บิ๊กโจ๊ก”เปิดหน้าท้าชนผบ.ตร.
ขณะที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เปิดเผยผ่านรายการโหนกระแส สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 หลังจากฟังคลิปเสียงสนทนาระหว่าง พล.ต.อ.จักรทิพย์ กับ พล.ต.อ.วิระชัย ว่า รู้สึกหดหู่ใจกับผู้นำองค์กร อีกคนอยู่ต่างประเทศ อีกคนรักษาการ ต้องบอกว่าตอนนี้การจับคนร้ายต้องทำใจแล้ว วันเกิดเหตุตนเห็นแค่ พล.ต.อ.วิระชัย กับตำรวจท้องที่ ไม่เห็น ผบช.น.เลย
“ในคลิปที่มีการสั่งการอะไรนั้น ผมมองว่าการสั่งอย่างนี้มันเป็นการสั่งเพื่อองค์กรหรือเพื่ออะไร คดีนี้สื่อสนใจเพราะมันเกิดกลางเมือง ท่านวิระชัย ก็แค่ลงมาดู ลงมาแอ็คชั่น ลงพื้นที่มาดูคดี มันก็เท่านั้นเอง ใครฟังคลิป ถามว่าคนฟังๆ แล้วรู้สึกดีมั้ย ถ้าเป็นผมต้องสั่งว่าควรจะจับให้ได้ภายใน 2-3 วัน ไปหาคลิปไปหาเบาะแสมา จากนั้นก็เอาทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาแถลงข่าว เพื่อให้ชาวบ้านเขารู้ความคืบหน้า ส่วนจะจับได้หรือไม่ได้ก็ว่ากันอีกเรื่อง” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าว
อ้างโดนมาเยอะจวกคนในคลิป
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เปิดเผยในรายการดังกล่าวอีกว่า ที่บอกในคลิปว่าตนรู้กัน อย่างนี้พูดได้อย่างไร ตนจำเป็นต้องทำแบบนี้ ใครไม่เป็นตนไม่รู้หรอก ไม่ได้คิดเรื่องที่จะกลับมาในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แค่โดนมาเยอะ ควรพอเสียที นี่มันเป็นเรื่องจริยธรรม เป็นถึงผู้นำองค์กร แล้วสั่งแบบนี้เมื่อสังคมได้รับรู้แล้วก็ควรลาออกไปเสียดีกว่า ต้องมีสปิริตมากกว่านี้ ลาออกเถอะ
ผบช.สตม.ออกโรงโต้“บิ๊กโจ๊ก”
ขณะเดียวกัน พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม.กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ พาดพิงว่าระบบไบโอเมทริกซ์ ที่ สตม.นำมาใช้ตรวจสอบการเดินทางเข้าออกประเทศว่าไม่สามารถใช้งานได้จริง หรือไม่มีประสิทธิภาพ ว่า ไม่ทราบว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ไปเอาข้อมูลมาจากไหน ทั้งที่เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้งานได้จริง ที่ผ่านมาสามารถจับกุมชาวต่างชาติที่ต้องคดี หรือมีประวัติก่ออาชญากรรม ที่พยายามหลบหนีเข้าประเทศไทยได้จำนวนมาก จึงถือว่าการนำระบบนี้มาใช้มีความคุ้มค่า ที่สำคัญช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นานาประเทศว่าเรามีระบบคัดกรองที่มีมาตรฐาน
ผบช.สตม.กล่าวอีกว่า ผบ.ตร.ในฐานะผู้อนุมัติโครงการ มีเป้าประสงค์เพื่อยกระดับ สตม.ให้มีประสิทธิภาพทัดเทียมนานาชาติ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ไม่ควรนำเรื่องนี้ไปเชื่อมโยงกับความขัดแย้งส่วนตัว
ส่วน พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ รอง ผบช.สตม.เผยว่า ที่ผ่านมาได้ให้ผู้เชี่ยวชาญจากหลายหน่วยงานตรวจสอบระบบไบโอเมทริกซ์ ซึ่งได้รับการยืนยันว่ามีประสิทธิภาพ ใช้งานได้จริง แต่ขณะที่ตนมาปฏิบัติหน้าที่ อยู่ระหว่างส่งงานงวดที่ 3 ปัจจุบันติดตั้งไปครบ 6 งวดแล้วตามสัญญา ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา ตรวจสอบคนมาแล้ว 48 ล้านคน จับกุมบุคคลตามแบล็คลิสต์ได้ 4,353 คน ตรวจสอบบุคคลที่อยู่ในราชอาณาจักรเกินเวลาที่กำหนดหรือโอเวอร์สเตย์ 126,989 คน ได้เงินค่าปรับแล้วกว่า 240 ล้านบาท ตนพร้อมจะเข้าชี้แจง ป.ป.ช.เพราะทุกขั้นตอนมีความโปร่งใส
เสรีพิศุทธ์ชี้จัดฉากหวังไล่ผบ.ตร.
ด้าน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นอดีต ผบ.ตร.และเป็นผู้บังคับบัญชาของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นการจัดฉากของผู้ที่ถูกยิงใส่รถ สาเหตุเพราะการที่มือปืนจะลงมือสังหารใคร ต้องมีการติดตามเหยื่อมาอย่างใกล้ชิด เมื่อสบโอกาสจึงลงมือ แต่เรื่องนี้เอามือปืนมายิงใส่รถที่จอดอยู่เฉยๆ ไม่มีเป้าหมายอยู่ในรถแต่อย่างใด จึงเชื่อว่าเป็นการจัดฉากหวังขยายผลเพื่อโจมตีคู่กรณีมากกว่า เพื่อให้มีข้ออ้างในการปลด พล.ต.อ.จักรทิพย์ ออกจากตำแหน่ง ผบ.ตร.ก่อนจะเกษียณอายุราชการในอีก 8 เดือน เหมือนกับที่ตนเคยถูกเล่นงาน
“บิ๊กป้อม”พร้อมกาวใจทั้งสองฝ่าย
วันเดียวกัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ระบุถึงสาเหตุที่ถูกลอบยิงรถว่ามาจากการตรวจสอบโครงการจัดซื้อเครื่องไบโอแมทริกซ์ โดยพาดพิงถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ว่า ให้ไปเคลียร์กันเอง เพราะตนยังไม่ได้พูดคุยกับทั้งสอง ส่วนเรื่องการจัดซื้อไบโอแมทริกซ์ ในขณะนั้นทางตำรวจเป็นผู้ดำเนินการ ส่วนตัวคิดว่าเครื่องดังกล่าวนั้นมีประสิทธิภาพดี แต่ก็ไม่รู้รายละเอียด
เมื่อถามว่า เรื่องนี้จะบานปลายเป็นความขัดแย้งระหว่าง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็ไม่รู้สิ ต่อข้อถามว่าการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนาคล้าย กับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ที่ขอให้ พล.ต.อ.วิระชัย ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดีนั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยังไม่รู้ เพราะตอนนี้ไม่ได้คุมตำรวจแล้ว จะไปตอบได้อย่างไร ส่วนจะนัดทั้งสองมาเคลียร์ใจกันหรือไม่ ตนยังไม่ได้เจอ ถ้าเจอก็จะพูด
ษิทราให้ปากคำปปช.ปมร้องเรียน
อีกด้านหนึ่ง นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน เปิดเผยภายหลังเข้าให้ปากคำกับอนุกรรมการ ป.ป.ช.กรณียื่นเรื่องให้ตรวจสอบการจัดซื้อเครื่องไบโอเมทริกซ์ และรถตรวจการไฟฟ้าของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง วงเงิน 2,100 ล้านบาท ว่า ได้ให้ถ้อยคำคณะอนุกรรมการไต่สวน และยื่นรายชื่อพยานเพิ่มเติม หลังจากนี้ ทาง ป.ป.ช.จะทยอยเรียกสอบพยาน โดยในวันที่ 10 มกราคมนี้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ จะให้ปากคำเป็นพยานปากแรก พร้อมกับอดีต รอง ผบช.สตม.ที่ไม่ยอมเซ็นรับมอบโครงการฯ จนถูกคำสั่งย้าย ส่วนพยานคนอื่นๆ จะเข้าให้ข้อมูลจนครบทั้ง 13 คน
นายษิทรา เปิดเผยด้วยว่า ที่ผ่านมาทราบว่า ป.ป.ช.เรียกเอกสารจากสำนักงานส่งกำลังบำรุง และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องไปมากพอสมควรแล้ว โดยสัปดาห์หน้าจะลงพื้นที่สุ่มตรวจการใช้งานเครื่องไบโอเมทริกซ์ หากการไต่สวนพบว่ามีมูล ก็น่าจะเรียกผู้ถูกร้องทั้ง 4 ราย รวมถึง ผบ.ตร.เข้ามาชี้แจงต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี