ด้วยวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบาย ประกอบกับการไม่บริโภคเนื้อสัตว์บางชนิดตามความเชื่อทางศาสนา ทำให้ “ผงปรุงรส” ซึ่งเป็นสารสกัดจากพืชจึงสามารถตอบโจทย์การผลิตอาหารเพื่อจำหน่ายในตลาดนี้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะผงปรุงรส “กลิ่นเนื้อ” ซึ่งกระบวนการผลิตในระดับอุตสาหกรรมจะใช้การต้มวัตถุดิบในหม้อแรงดันสูงเป็นเวลานาน เพื่อให้ได้น้ำซุปเนื้อที่มีความเข้มข้นสูง ก่อนจะนำมาเข้ากระบวนการนำน้ำปริมาณมากออกไป และมาทำแห้งให้เป็นผง
อีกทีหนึ่ง
โดยกลิ่นเนื้อที่ผลิตจะไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์จริงเพื่อให้ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลาย สินค้าที่โรงงานผลิตออกมาจะมีการจำหน่ายต่อให้กับบริษัทผู้ผลิตอาหาร (Business to business marketing : B2B) เพื่อนำไปผลิตเป็นซุป ซอส และใช้ปรุงแต่งขนมขบเคี้ยว เป็นต้น แต่ปัญหาที่พบคือกระบวนการดังกล่าวสิ้นเปลืองทรัพยากรมาก ทั้งแรงงานคน พลังงานและน้ำ
วสันต์ รัตนานุภาพ ประธานและ CEO ของบริษัท The Mighty Co., Ltd. เล่าว่า แต่ก่อนประเทศไทยต้องนำเข้าผงปรุงรสในปริมาณมาก คิดเป็นมูลค่าทางการตลาดสูงถึงหลักพันล้านบาท แต่ปัจจุบันสามารถผลิตเองได้ อีกทั้งยังมีสัดส่วนในการส่งออกถึงร้อยละ 60 อาทิ จีน อินเดีย เกาหลี และอีกหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ในรูปแบบ B2B
“การเติบโตของตลาดอาหารในประเทศไทยมีลักษณะการเติบโตอย่างช้าๆ แต่มั่นคง ดังนั้นแล้วการเติบโตไปข้างหน้าของวงการผู้ผลิตอาหารไทย จึงควรเติบโตด้วยฐานองค์ความรู้และนวัตกรรม (Innovation-basedeconomy) โดยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green economy) และมีการใช้งานทรัพยากรอย่างเหมาะสมและคุ้มค่า (Circular economy) เพื่อเสริมทัพให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้นและเดินหน้าอย่างยั่งยืน” วสันต์ กล่าว
ด้วยเหตุนี้ จึงมีความร่วมมือกันกับ ศ.ดร.วิไล รังสาดทอง หัวหน้าศูนย์วิจัยด้านอาหารและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เพื่อยกระดับการผลิตด้วยผลงานวิจัยที่ได้มาตรฐาน ซึ่งการผลิตด้วยรูปแบบที่พัฒนาขึ้นมาใหม่นั้นผลิตภัณฑ์มีคุณภาพได้มาตรฐานไม่ด้อยไปกว่ารูปแบบเดิม แต่มี “ข้อดี” คือลดต้นทุนการผลิตลงได้ เพราะสามารถผลิตได้ครั้งละปริมาณมาก ใช้น้ำในปริมาณน้อยลง ทำให้มีการใช้พลังงานในการผลิตลดลงไปกว่าครึ่ง อีกทั้งยังใช้เวลาและแรงงานคนในการผลิตน้อยลงด้วย
ทั้งนี้ บริษัทมีการผลิตมากกว่า 30 ปี ดังนั้น การจะเปลี่ยนวิธีการผลิตที่ทำจนอยู่ตัวมาเป็นวิธีการผลิตใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนั่นหมายถึงการต้องเริ่มต้นใหม่แทบทั้งหมด “หากผู้บริหารไม่กล้าเริ่มเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมก็จะไม่เกิดขึ้นจึงจำเป็นต้องกล้าได้กล้าเสียในระดับหนึ่ง” เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงจากขนาดเล็กก่อนจะปรับขยาย (Upscale) ไปสู่การผลิตในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งในปัจจุบันด้วยความเชี่ยวชาญของคณะนักวิจัยทำให้ผลงานนวัตกรรมนี้ใกล้จะได้ปรับขยายไปสู่การใช้ผลิตจริงในเร็ววันนี้
ขณะที่ ศ.ดร.วิไล อธิบายเพิ่มเติมว่า จากกระบวนการเดิมของบริษัท ทำให้ได้ทราบถึงขั้นตอนในการผลิตที่เกิดการ
สูญเสียทรัพยากรด้านต่างๆ เป็นจำนวนมาก จึงได้ร่วมกันพัฒนาวิธีการที่จะลดการสูญเสียเหล่านั้นลง โดยการพยายามใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่ามากที่สุด ผ่านการใช้กระบวนการอัดรีด (Extrusion) ด้วยเครื่องเอ็กซ์ทรูเดอร์(Extruder) แทนกระบวนการผลิตแบบเดิม ซึ่งจากการศึกษางานวิจัยที่ผ่านมา ยังไม่ค่อยมีการทำวิจัยเกี่ยวกับการนำวิธีการนี้มาใช้ผลิตผงกลิ่นเนื้อเท่าไหร่นัก
“จากการทดสอบและพัฒนามาเป็นระยะเวลาหนึ่ง เราจึงได้วัตถุดิบจำเพาะเป็นกรดอะมิโนจากพืช น้ำตาลและแป้งสาลี นำมาผ่านกระบวนการผลิตในอุณหภูมิและระยะเวลาที่เหมาะสมได้ผลิตภัณฑ์เป็นผงกลิ่นเนื้อสีน้ำตาลสวยงามจากปฏิกิริยาเมลลาร์ด (Maillard reaction) มีกลิ่นเนื้อที่หอมตามธรรมชาติ ละลายง่ายใช้งานได้สะดวก ตรงตามโจทย์ที่ผู้ประกอบการต้องการ และผ่านมาตรฐานระดับสากลทั้งหมดที่บริษัทใช้ เช่น Food Safety, ISO, Halal และ GMP เป็นต้น” ศ.ดร.วิไล ระบุ
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี