เดือนมกราคมของทุกปี เป็นเดือนที่มีหลายอย่างเกิดขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงในระบบราชการ ขณะนี้มีการแต่งตั้งผู้บริหารระดับหัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงาน ผู้บริหาร ผู้อำนวยการระดับต้น ระดับสูง ดูเสมือนเป็นการจัดกำลังกันใหม่ ขณะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีการนำเสนอนโยบายในปีใหม่นี้ออกมาเพื่อใช้เป็นทิศทางขับเคลื่อนงานของกระทรวง ส่วนว่าจะเหมือนเดิม เอางานแต่ละกรมมาร้อยเรียงใหม่ หรือจัดงานยุทธศาสตร์ชาติหรือแผนปฏิรูปประเทศเป็นตัวขับเคลื่อนด้วยหรือไม่ คงต้องลึกลงไปในรายละเอียด แต่ที่เห็นประการหนึ่งคือการยึดความถูกต้อง ประโยชน์สุขกับทุกกลุ่ม น่าจะปรากฏให้เห็นร่องรอยบ้าง ได้แต่ห่วงว่าทุกองคาพยพในกระทรวงจะตระหนักและนำไปขับเคลื่อนอย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดผลในทิศทางเดียวกัน ไม่อยากเห็นเหมือนที่ได้ยินมาว่ามี 4 กระทรวง 4 นโยบาย เป็นอิสระจากกัน หากเป็นเช่นนี้ นโยบายที่ออกมาคงยากจะผลักดันให้ถึงฝั่งได้ เหมือนลงเรือลำเดียวกัน แต่พายไปคนละทิศทาง เรือจะหมุนคว้างวนอยู่กับที่ หรืออาจล่มเอาง่ายๆ
ช่วงเวลานี้เดินทางไปมาไหน ไม่ว่าจะพื้นที่การเกษตรหรือพื้นที่เมืองทุกคนจะวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาภัยแล้งยิ่งอากาศแห้ง แดดจัด อุณหภูมิสูง อัตราการระเหยของน้ำบนผิวดินยิ่งสูงขึ้นไปอีกไม้ผลหลายชนิดอยู่ในช่วงออกดอก หลังจากที่อากาศหนาวจัดในช่วงต้นเดือนธันวาคม คงต้องลุ้นกันว่า อากาศร้อนๆ ความชื้นสัมพัทธ์ต่ำๆ จะส่งผลต่อการผสมติดของไม้ผลแต่ละชนิดอย่างไร หรือดอกที่ออกจะกระทบร้อนจนดอกร่วงไปเสียก่อน เกษตรกรหลายรายในภาคตะวันออกต้องขนขวายหาแหล่งน้ำมาใช้ในสวนผลไม้ของตนเอง ทั้งการเจาะบ่อบาดาล หรือการเตรียมรถขนน้ำมาใช้ในสวน เพื่อประคับประคองให้ไม้ผลที่ติดดอก ได้รับน้ำเพียงที่จะให้ผลผลิต ไม่ใช่นั้นฤดูการผลิตนี้อาจสูญเปล่าก็เป็นได้
ผมผ่านไปในเส้นทางปากช่อง เขาใหญ่จนถึงวังน้ำเขียว เห็นมะม่วงออกดอกเป็นจำนวนมาก หากติดผลทั้งหมดก็อาจกระทบถึงราคาได้ แต่เมื่อได้คุยกับพี่น้องเกษตรกรเจ้าของสวนมะม่วง สิ่งที่พี่น้องเหล่านี้เป็นกังวลกลับไม่ใช่เรื่องราคาผลผลิตตกต่ำ แต่เป็นปัญหาเรื่องความแห้งแล้งที่ส่งผลต่อผลผลิตที่จะเกิดขึ้น ด้วยยังมีความรักในอาชีพทำสวนมะม่วง ยังหวังว่าอาชีพนี้ จะเลี้ยงชีวิตได้ ไม่อยากขายที่ให้นายทุนไปสร้างรีสอร์ทเสียหมด ความกังวลของพี่น้องเกษตรกรที่มีต่อปัจจัยการผลิตและปัญหาด้านราคาผลผลิตตกต่ำ เป็นประเด็นที่ยังคงมีเรื่องราวท้าทายความสามารถของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อยู่ตลอดเวลา เป็นงานที่เหมือนกระทรวงนี้จะทำเสร็จแต่ไม่สำเร็จจริงๆจังๆ
การกำหนดเขตการเพาะปลูก หรือ Zoning มีการคิดและนำเสนอมาหลายครั้ง ยาวนานนับ 10 ปี แต่โดยข้อเท็จจริงยังไม่เกิดผลจริงจัง แผนปฏิรูปประเทศรอบนี้ก็มีการระบุถึงประเด็นดังกล่าว แต่ไม่ทราบว่าผลจะเป็นอย่างไร เพราะเท่าที่สัมผัสมา ผู้ที่จะขับเคลื่อนยังไม่เข้าใจในแผนดังกล่าว หากสามารถดำเนินการตามแผนได้ ทั้งการจัดการระบบ logistics การตลาด การเข้าถึงแหล่งทุน การจัดการระบบการผลิต จะทำให้กระบวนงานต่างๆ ก้าวไปข้างหน้าในทิศทางเดียวกัน แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ฝ่ายการเมืองมี 4 นโยบาย 4 ทิศทาง การวางพื้นฐานสำหรับการพัฒนาการเกษตรของชาติคงไม่พบทางสว่างสักที เหมือนที่ผมรับฟังมาจากการทำเกษตรตามกระแส กรณีบางคนมีที่ มีทุนเห็นสวนทุเรียนรายได้ดีอยากปลูกทุเรียนบ้าง หากิ่งพันธุ์ทุเรียนมาปลูก 500 กิ่ง ไม่ทันไรตายสนิท เป็นการสะท้อนความล้มเหลวของการนำระบบ Zoning มาใช้ที่ยังห่างไกลเป้าหมายมาก จะว่าไปก็คล้ายกับการแต่งตั้งข้าราชการระดับบนที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ผลงาน ความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญในงานที่ต้องรับผิดชอบ อาจไม่ใช่ประเด็นหลัก สิ่งที่พิจารณากลายเป็นว่ามาจากสายการเมืองไหน คงชัดเจนกันแล้วว่าหากจะเริ่มต้นปฏิรูปประเทศกันจริงจัง ควรจะปฏิรูปสิ่งใดก่อนดี
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี