มท.1สนองนโยบายนายกฯ สั่งผู้ว่าฯเร่งหาช่องขุดดินแลกน้ำ โดยยึดระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องเคร่งครัด พร้อมหาแนวทางขุดลอกแหล่งน้ำธรรมชาติ เป็นที่กักน้ำแก้แล้ง-ท่วม และบริหารจัดการวัสดุมูลดินให้เกิดประโยชน์ ด้านก.เกษตรฯทุ่มงบ 3.1 พันล้านให้กรมชลฯวางแผนจ้างงานเกษตรกรสร้างรายได้ทดแทนหลังเพาะปลูกไม่ได้ ขณะที่ครม.รับทราบสถานการณ์น้ำแล้ง18จว.ประกาศเขตภัยพิบัติ วางแผนเฉพาะหน้า 2 ระยะ นายกฯห่วงสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด
เมื่อวันที่ 14 มกราคม นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย (มท.) กล่าวถึงสถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้นขณะนี้ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาสถานการณ์ภัยแล้งต่อเนื่องและติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำใกล้ชิด รวมทั้งสำรวจข้อมูลแหล่งน้ำและประมาณการใช้น้ำของแต่ละพื้นที่ ทั้งน้ำอุปโภคบริโภค การเกษตร การอุตสาหกรรมและรักษาระบบนิเวศ เพื่อเป็นข้อมูลพิจารณาแก้ปัญหาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งต้องใช้เวลาและงบประมาณจำนวนมากเพื่อให้มีปริมาณน้ำเพียงพอกับความต้องการของทุกภาคส่วน
ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้แนวทางแก้ปัญหาภัยแล้งระยะเร่งด่วน ด้วยการขุดดินแลกน้ำ โดยใช้วัสดุมูลดินที่ได้จากการขุดลอกแหล่งน้ำธรรมชาติหรือแหล่งอื่น ที่เหมาะสม เพื่อเป็นการบริหารจัดการวัสดุมูลดินให้เกิดประโยชน์ และเป็นการขุดบ่อสร้างแหล่งกักเก็บน้ำขนาดเล็กในพื้นที่นั้น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย จึงสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดบูรณาการหน่วยงานในพื้นที่พิจารณาดำเนินการขุดดินแลกน้ำ ตามความเหมาะสมของสภาพพื้นที่และสอดคล้องสถานการณ์ ทั้งนี้ ให้ปฏิบัติตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ศึกษาแนวทางดำเนินการตามนโยบายขุดลอกแหล่งน้ำสาธารณประโยชน์ที่ตื้นเขิน ป้องกันแก้ปัญหาอุทกภัยหรือภัยแล้งของกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย และแนวทางบริหารจัดการวัสดุที่ได้จากการขุดลอก ของกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกอบการดำเนินการดังกล่าวด้วย
ด้านนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์หลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีปลูกพืชช่วงภัยแล้งว่า ในส่วนพืชที่ใช้น้ำน้อยยังปลูกได้ และหลายพื้นที่ยังไม่มีปัญหาเรื่องขาดแคลนน้ำ เช่น ในลุ่มน้ำภาคตะวันตก ลุ่มน้ำแม่กลอง หรือภาคใต้ พืชที่ไม่สามารถปลูกได้คือพืชที่ใช้น้ำมาก เช่น ข้าว ในส่วนนี้เราจะขอความร่วมมือ ส่วนเกษตรกรที่ไม่สามารถปลูกพืชใดๆได้เลย รัฐบาลมีมาตรการคือ ส่งเสริมให้ปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย และอายุสั้น การจ้างงาน โดยกรมชลประทานวางแผนจ้างงานเกษตรกรที่ไม่สามารถทำเกษตรได้ ซึ่งใช้งบประมาณ 3,100 ล้านบาท โดยบูรณาการกับหลายภาคส่วน เพื่อแก้ปัญหา ตนคิดว่าตอนนี้เป็นวิกฤตของประเทศ จึงไม่ใช่ความรับผิดชอบของกระทรวงเกษตรฯ หรือหน่วยงานใด ภาคส่วนใดเท่านั้น ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน อย่าคิดว่าเป็นปัญหาของคนใดคนหนึ่ง วันนี้ต้องช่วยกันคิดว่าจะผ่านปัญหาไปได้อย่างไร ทั้งนี้ ในที่ประชุม ครม.นายกฯกำชับให้ทุกคนดำเนินงานเต็มที่ เร่งงใช้งบประมาณนำไปดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
ขณะที่น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุม ครม.ว่า ที่ประชุมรับทราบสถานการณ์น้ำแล้งระหว่างวันที่ 7 - 13 มกราคม ครอบคลุมภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีจังหวัดที่ประกาศเขตให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติฉุกเฉินภัยแล้ง ตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ.2562ว่า มี 18 จังหวัด 89 อำเภอ 507 ตำบล ได้แก่ จ. เชียงราย น่าน เพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ สุโขทัย นครพนม มหาสารคาม บึงกาฬ หนองคาย บุรีรัมย์ กาฬสินธุ์ นครราชสีมา กาญจนบุรี ฉะเชิงเทรา อุทัยธานี ชัยนาท นครสวรรค์ และสุพรรณบุรี
รองโฆษกรัฐบาลกล่าวต่อว่า ทั้งนี้ รัฐบาลมีแผนเฉพาะหน้าแบ่งเป็น 2 ระยะคือ ช่วงเร่งด่วน เดือนมกราคม- เมษายน เป็นช่วงแล้งมา และช่วงเดือนพฤษภาคม- กรกฎาคม ฝนจะตกน้อย ที่ผ่านมามีข้อสั่งการของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตั้งแต่วันที่29 พฤศจิกายน 2562 แบ่งความรับผิดชอบเป็น 3 กลุ่มภารกิจ ทั้งพยากรณ์ บริหารจัดการ แก้ปัญหาขาดแคลนน้ำ เพื่อทำแผนหาแหล่งน้ำ ขุดบ่อบาดาล ควบคุมการใช้น้ำเพื่อการเกษตร เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สทนช.ขออนุมัติงบประมาณ 3 พันล้านบาท รวมกับงบกระทรวงที่ใช้ดูแลช่วงน้ำแล้ง รวมแล้ว 6 พันล้านบาท
“นายกฯ เป็นห่วงปัญหาภัยแล้ง ซึ่งรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง และเพื่อเป็นการดูแลประชาชนในช่วงภัยแล้ง รัฐบาลมีแผนเฉพาะหน้าแบ่งเป็น 2 ระยะคือ ช่วงภัยแล้งเร่งด่วนเดือนมกราคม-เมษายน เป็นช่วงที่แล้งมาก จากนั้นเข้าสู่ช่วงฤดูฝนเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม.ฉะนั้นรูปแบบการทำงานจะต้องตอบสนองการทำงาน 2 ช่วงเวลาดังกล่าว”รองโฆษกรัฐบาลกล่าว
และว่า รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการควบคุมการใช้น้ำเพื่อการเกษตร โดยขอความร่วมมือเกษตรกรไม่ให้ปิดกั้นลำน้ำหรือสูบน้ำเข้าพื้นที่เพาะปลูก เพื่อลดผลกระทบการขาดแคลนน้ำ พร้อมประสานกรมฝนหลวงทำฝนหลวงตามสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม การรับมือภัยแล้งปี2563 แบ่งเป็นการดำเนินการบูรณาการหลายกระทรวงและในส่วนที่แต่ละกระทรวงรับผิดชอบ ซึ่งประกอบด้วย 3,378โครงการ มีการขุดเจาะย่อบาดาล 1,053 แห่ง จัดหาแหล่งน้ำผิวดิน ซ่อมแซมระบบประปา ส่วนกระทรวงเกษตรฯเร่งฟื้นฟูแหล่งน้ำครอบคลุมพื้นที่ 1.2 ล้านไร่ 421 โครงการ เพิ่มปริมาณน้ำได้ 942 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมถึงการเตรียมพร้อมปฏิบัติการฝนหลวง 25 ลุ่มน้ำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี