เปิด‘เบื้องลึก’แกะรอยล่า ก่อนตะครุบ‘ไอ้เหี้ยม’ชิงทอง
22 มกราคม 2563 ความคืบหน้าภายหลังมีการจับกุมนายประสิทธิชัย เขาแก้ว ผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.สิงห์บุรี ผู้ต้องหาคดีชิงทองที่ จ.ลพบุรี
สำหรับเบื้องหลังการจับกุมครั้งนี้ มีรายงานว่าภายหลังเกิดเหตุทาง พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป. ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา ผกก.2 บก.ป. , พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผกก.3 บก.ป. และ พ.ต.อ.วิจักษ์ ตารมย์ ผกก.สสน.บก.ป. นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการกองปราบปราม ลงพื้นที่สืบสวนสอบสวนแกะรอยผู้ต้องหารายนี้
จนกระทั่งประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ ทางเจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีของกองปราบฯได้รับแจ้งเบาะแสจากพลเมืองดีว่าคนร้ายที่น่าจะก่อเหตุดังกล่าวน่าจะเป็น “นายประสิทธิชัย เขาแก้ว” หรือ “กอล์ฟ” อายุ 38 ปี ผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.สิงห์บุรี จึงได้ดำเนินการพิสูจน์ทราบ พร้อมรวบรวมพยานหลักฐาน โดยใช้เวลาสืบสวนประมาณ 7 วัน หรือ 1 สัปดาห์ พบว่า มีหลักฐานหลายอย่างโดยเฉพาะ “อาวุธปืน” ที่ใช้ก่อเหตุเกี่ยวพันกับนายประสิทธิชัย พร้อมกับหลักฐานอื่นๆเชื่อมโยงว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุดังกล่าว จึงได้ประสานให้พนักงานสอบสวนกองปราบปราม รวบรวมพยานหลักฐานขอหมายจับจากศาลอาญา กระทั่งศาลออกหมายจับให้เมื่อค่ำวันที่ 21 มกราคม ที่ผ่านมา
ภายหลังทราบตัวผู้ก่อเหตุแน่ชัด ประกอบกับศาลออกหมายจับแล้ว พล.ต.ต.จิรภพ จึงได้สั่งการให้ พ.ต.อ.วิจักษ์ นำเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.สสน.บก.ป. หรือชุดปฏิบัติการพิเศษ “หนุมาน” กองปราบฯ ตามแกะรอยจนทราบที่กบดานของผู้ต้องหารายนี้ จนทราบว่ามีบ้านพักอยู่ในพื้นที่ จ.ลพบุรี และจะมีการขับรถเดินทางไปทำการสอนหนังสือที่โรงเรียนใน จ.สิงห์บุรี
ในช่วงเช้าของวันนี้ (22 มกราคม 2563) เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.สสน.บก.ป. จึงจัดกำลังพร้อมยุทโธปกรณ์ครบมือเฝ้าสังเกตการณ์ กระทั่งเห็นนายประสิทธิชัย กำลังขับรถยนต์ยี่ห้อบีเอ็มดับเบิ้ลยู รุ่นซีรีย์ 5 สีดำ หมายเลขทะเบียน 7กณ 493 กทม. จึงได้ขับรถสะกดรอยติดตามนายประสิทธิชัย ไปจนถึงบริเวณทางหลวงสาย 311 ต.ท่าวุ้ง อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี จึงแสดงตัวพร้อมอาวุธหนักครบมือ บุกจู่โจมชาร์จจับกุม ระหว่างที่เข้าจับกุมนั้น นายประสิทธิชัย ไม่มีท่าทีขัดขืน หรือต่อสู้เจ้าหน้าที่ เพราะตั้งตัวไม่ติด
จากการตรวจค้นภายในรถไม่พบ “อาวุธปืน” ที่ใช้ในการก่อเหตุ แต่พบกระสุนปืนขนาด 9 มม. ซึ่งเป็นขนาดเดียวกันกับที่ก่อเหตุอยู่ภายในรถหลายนัด จึงได้ยึดไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นจึงควบคุมตัวไปยังสถานีตำรวจท่องเที่ยวลพบุรี เพื่อทำการสอบสวน
รายงานข่าว ระบุว่า จากการสอบสวนนายประสิทธิชัย รับสารภาพว่า สาเหตุที่ลงมือก่อเหตุนั้น เพราะตนเองรู้สึก “เบื่อชีวิต” ต้องการหาความท้าทาย ตื่นเต้น ชีวิตจะได้มีสีสัน นอกจากนี้ตนยังรู้ตัวดีว่าหลังก่อเหตุจะถูกตำรวจตามจับกุมตัวได้อยู่แล้ว
ส่วนอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุนั้นเป็นปืนยี่ห้อซีแซต รุ่น เอสพี 01 ซึ่งเป็นปืนของพ่อที่เป็นอดีตตำรวจ หลังจากก่อเหตุเสร็จก็นำไปคืนพ่อเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2563
ส่วน “รถจักรยานยนต์” ยี่ห้อฟีโน่ สีแดง รุ่นปี 2008 เป็นรถจักรยานยนต์ของ “พ่อตา” ซึ่งตนยืมมาเพื่อใช้ในการก่อเหตุด้วยเช่นกัน และขณะนี้รถคันดังกล่าวตนได้นำไปคืนให้กับพ่อตาแล้ว
อย่างไรก็ตามแม้คำให้การของผู้ต้องหาจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี แต่ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อคำให้การในบางส่วน และจะทำการเค้นสอบอย่าละเอียดอีกครั้ง เพื่อพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง ก่อนนำตัวไปแถลงที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในวันพรุ่งนี้ (23 มกราคม 2563) ต่อไป
พล.ต.ต.จิรภพ กล่าวว่า ส่วนหนึ่งของการแกะรอยหาเบาะแสจนนำไปสู่การจับกุมคนร้ายได้นั้น ทางเจ้าหน้าที่ต้องขอขอบคุณประชาชน ชาวบ้าน ที่ให้ความร่วมมือช่วยแจ้งเบาะแสผู้ต้องสงสัยต่างๆ ซึ่งในส่วนนี้ทางกองปราบฯเองเปิดกว้าง และให้ความสำคัญอยู่แล้ว จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาทางกองปราบฯมีการเปิดช่องทางติดต่อกับประชาชนผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะคดีนี้เพียงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงคดีอื่นๆอีกด้วย
ล่าสุด พล.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบช.ก. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบช.ก. เดินทางลงพื้นที่ จ.ลพบุรี และสิงห์บุรี เพื่อเข้าควบคุมการสืบสวนขยายผล และหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อประกอบสำนวนการสอบสวนอีกทางหนึ่งด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี