ว่าด้วยเรื่องงบประมาณของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ถูกคณะกรรมาธิการตัดงบและมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบ
ต่อการขับเคลื่อนของหลายๆ หน่วยงาน โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่าน สว.สมชาย ชาญณรงค์กุล อดีตผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ ที่ผ่านการเป็นอธิบดีมาหลายกรมได้อภิปรายงบประมาณในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ ไว้น่าสนใจ ซึ่ง คุณธัชธาวินท์ สะรุโน ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการผลิตพืชที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง สวพ.8 สงขลา ได้สรุปประเด็นสำคัญอธิบายไว้ในเฟสบุ๊คส่วนตัวไว้อย่างน่าสนใจ ขุนเกษตรา จึงขออนุญาตหยิบยกมาเล่าสู่กันฟังใจความดังนี้ ปัจจุบันประเทศไทยตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาเกษตรให้ก้าวหน้าด้วยนวัตกรรม จึงควรมีการปรับการทำงานและงบประมาณให้สนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว ควรให้การสนับสนุนงบวิจัยให้มากขึ้นเพราะงานวิจัยช่วยสร้างมูลค่าเศรษฐกิจของประเทศ เช่น พันธุ์ข้าวคุณภาพดี 1 พันธุ์ ต้องลงทุนวิจัย 10 ล้าน แต่สามารถสร้างมูลค่ากลับคืนมาเป็นหมื่นล้านบาท จึงควรมีการวางแผนอัตรากำลังบุคลากรของกระทรวงเกษตร และการพัฒนาความสามารถบุคลากร ให้เหมาะสมกับแนวทางการพัฒนาที่กำลังก้าวไปข้างหน้าควรปรับการทำงานในกระทรวงและแต่ละกรม ให้มีการทำงานให้มีเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน ในการทำงานแต่ละงานโครงการ และมีเป้าหมายชัดเจน เช่น แปลงใหญ่, smart farmer และ วิสาหกิจชุมชน เป็นต้น ควรปรับปรุงระบบการจัดการส่งเสริมพันธุ์พืชให้เหมาะสม ทั้งในเชิงปริมาณพันธุ์ดีที่ราชการผลิตให้เพียงพอ ตลอดจนจัดองค์กรและบทบาทหน้าที่ให้รองรับตั้งแต่ผลิตพันธุ์หลักจากศูนย์วิจัยไปจนถึงพันธุ์ขยายที่จะให้เกษตรกรได้ใช้อย่างทั่วถึง ดังคำที่ว่า “การเกษตรที่ดี เริ่มด้วยการใช้พันธุ์ที่ดี ก็สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง” กรมส่งเสริมสหกรณ์ ควรมีการสนับสนุนให้สามารถดูแลสหกรณ์ให้ใกล้ชิดมากขึ้น เช่น ในด้านอุปกรณ์ต่างๆ ที่ลงทุนไปแล้ว ให้สามารถทำงานได้เกิดประโยชน์ให้เต็มที่ และการดูแล เรื่องการสนับสนุนแหล่งเงินทุนในการดำเนินงานให้แก่สหกรณ์ขนาดเล็กด้วย กรมส่งเสริมการเกษตร ควรมีการสนับสนุนให้มีการพัฒนากำลังพลและพัฒนาวิธีการทำงานของกรมให้เหมาะสมกับสถานการณ์ข้อจำกัดของกรมโดยเฉพาะด้านบุคลากรที่น้อยลง กรมการข้าว ควรมีการสนับสนุนในเรื่องการวิจัยพันธุ์ข้าวที่จะดูว่ามีวิธีใดที่จะใช้เวลาในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้สั้นลงด้วยการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย กรมวิชาการเกษตร ควรสนับสนุนให้สามารถทำงานที่รับผิดชอบได้ครบถ้วนและเต็มที่เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่ต้องดูแลคุ้มครองเกษตรกร เช่น ตาม พ.ร.บ. พันธุ์พืชให้มีพืชพันธุ์ดี พ.ร.บ. ปุ๋ย ให้ได้ใช้ปุ๋ยเต็มสูตร พ.ร.บ. วัตถุอันตราย ไม่ให้มีสารเคมีปลอม พ.ร.บ. กักพืช ดูแลการส่งออกนำเข้า การระบาดของศัตรูพืชจากต่างประเทศ พ.ร.บ. คุ้มครองพันธุ์พืช ที่ต้องคุ้มครองพืชไว้ให้ลูกหลาน
การที่กรมวิชาการเกษตร ถูกตัดงบดำเนินงานไปกว่าครึ่ง ทำให้มีปัญหาในการทำงาน เช่น การตรวจวิเคราะห์สารตกค้างในผลผลิต แต่งบประมาณในการวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ แต่งบค่าวิเคราะห์ถูกตัดไป ด้านเครื่องมือวิทยาศาสตร์ เช่น เครื่องโครมาโตกราฟี่ ที่มีการกล่าวถึงนั้น แต่ละรุ่นจะมีสมรรถนะแตกต่างกันไปและราคาก็ต่างกันตามความสามารถในการวิเคราะห์ ซึ่งไทยมีความจำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่มีความสามารถในการวิเคราะห์รับรองเพื่อให้ต่างประเทศเชื่อถือประเทศไทย ด้านงานวิจัย กรมวิชาการเกษตร เป็นหน่วยที่ต้องทำวิจัยของประเทศ เป็นงานที่ต้องเตรียมการล่วงหน้า ทำวันนี้ ผลจะออกอีก 3-5 ปี ข้างหน้า ต้องทำต่อเนื่อง หากหน่วยงานนี้ถูกตัดงบไปกว่าครึ่ง จะเกิดผลกระทบกับเกษตรกรมากมาย เช่น มีผลต่อการไปรับรอง GAP โดยเฉพาะในช่วงที่ผลไม้กำลังออกสู่ตลาดและต้องส่งออก มีผลต่อพนักงานที่ถูกเลิกจ้างทันทีพันกว่าคน มีผลต่อโครงการเร่งด่วนตามนโยบายต่างๆ และงานวิจัยที่ถูกตัดไปกว่า 50% ขณะที่งบเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่บอกว่ามีปัญหากลับไม่ถูกตัด แต่กลับไปตัดงบที่ใช้ทำงาน ท่าน สว.สมชาย ยังอภิปรายอีกว่า มีเหตุผล 4 ประการ ที่รัฐบาลควรพิจารณาให้การดูแลและหาทางแก้ไขงบกรมวิชาการเกษตรเพื่อให้สามารถดำเนินการต่อไปได้ คือ 1. กรมวิชาการเกษตร ต้องทำงานในการสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างการส่งออกสินค้าค้าเกษตร 2. กรมวิชาการเกษตร ต้องทำงานวิจัยเพื่อขับเคลื่อน รองรับยุทธศาสตร์ชาติในการสร้างนวัตกรรม 3. กรมวิชาการเกษตร ต้องทำงานเพื่อสร้างความมั่นใจในสินค้าเกษตรไทยที่จะเข้าสู่ตลาดโลก และ 4.การเกษตรไทยกำลังก้าวเข้าสู่เกษตรแบบแม่นยำ ต้องอาศัยข้อมูลจากการวิจัยของกรมวิชาการเกษตร
นอกจากนั้นมีประเด็นการอภิปรายของ สว. หลายท่าน ที่เกี่ยวกับงานวิจัย พอจับใจความได้ดังนี้ 1. ในประเทศพัฒนาแล้วทุกประเทศ จะให้งบประมาณเพื่อการวิจัยค่อนข้างสูง แต่ไทยยังให้งบด้านการวิจัยน้อยมาก จึงน่าเป็นห่วงว่าไทยจะตามไม่ทันและไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่วางไว้ได้ 2. การวิจัย จำเป็นต้องมีการลงทุนสูง จะมาคิดถึงกำไรขาดทุน หรือมาคิดว่าแพงไม่แพงไม่ได้ในเวลานั้นๆ เพราะเป็นสิ่งที่รัฐต้องลงทุนระยะยาว และอย่างต่อเนื่อง ความคุ้มค่าการลงทุนวิจัยต้องดูประประโยชน์จากการนำผลงานวิจัยไปใช้ ถ้าคุ้มค่าถือว่าถูก ถ้าไม่คุ้มค่าก็ถือว่าแพง 3. การวิจัยต้องสนับสนุนทั้งการวิจัยพื้นฐาน แม้ยังไม่เห็นประโยชน์เฉพาะหน้าก็ตาม แต่จะเป็นฐานความรู้ไปสู่การต่อยอดให้เกิดการประยุกต์ และพัฒนา ต่อไป 4. การวิจัยต้องทำอย่างต่อเนื่อง และใช้เวลา เช่น การปรับปรุงพันธุ์พืช 1 พันธุ์ อาจใช้เวลา 10 กว่าปี จึงต้องให้การสนับสนุน แต่อย่างไรก็ตามต้องหาวิธีที่จะทำให้พัฒนาได้รวดเร็วขึ้น 5. ไทยตั้งเป้าจะพัฒนาประเทศด้วยนวัตกรรม งานวิจัยจึงสำคัญยิ่งที่จะทำให้ไทยสามารถพัฒนาได้บรรลุเป้าหมาย การวิจัยได้ถูกตัดงบมากเกินไป แล้วความก้าวหน้าทางการเกษตรของไทยจะเดินไปข้างหน้าได้อย่างไร...ทั้งหมดนี้ เป็นเสียงสะท้อนจากคนที่ทำงานภาคเกษตรมาค่อนชีวิต จึงอยากให้ผู้มีอำนาจช่วยพิจารณา เพราะนอกจากกระทบต่อการขับเคลื่อนงานแล้ว ยังส่งผลต่อบุคลากรที่เป็นลูกจ้างชั่วคราวซึ่งมีหลายตำแหน่งตั้งแต่นักวิจัย ธุรการ ขับรถคนงาน คนเหล่านี้ไม่ได้รับบรรจุ ไม่มีสวัสดิการใดๆ จากรัฐ ประกันสังคมก็ต้องทำประกันตนเอง หลายคนที่เป็นตำแหน่งคนงานในแปลงทดลอง ทำมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ เลี้ยงครอบครัวก็ด้วยเงินเดือนจ้างชั่วคราว มาตกงานตอนแก่แล้วจะเอาอะไรกิน...
ขุนเกษตรา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี