เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2563 รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อค่ำวันที่ 26 ม.ค. 2563 ที่ผ่านมา แนะนำ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมว่า ควรเป็นผู้นำในการรับมือโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่ระบาดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลายกระทรวง ไม่สามารถปล่อยให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข รับมือเพียงลำพัง พร้อมยกบทเรียนสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยรับมือโรคซาร์ (SARS) ดังนี้ 

“ข้อมูลบ่งว่า ไวรัสโคโรนาโดยตัวมันเองร้ายแรงน้อยกว่า SARS แพร่เชื้อคล้าย ๆ กันแต่มีอัตราการตายต่ำกว่ามาก กลุ่มเสี่ยงคือเด็กกับคนชราขณะที่ SARS เล่นงานกว้างขวางกว่า แต่ที่ดูเหมือนร้ายแรงกว่า ผู้คนแตกตื่นมากกว่าเพราะสังคมเปลี่ยนไป คนเดินทางมากกว่า ไปได้ไกลและรวดเร็วกว่า ควบคุมผู้คนได้ยากกว่า ไวรัสก็เลยแพร่เร็วกว่าด้วย ข้อมูลข่าวลือข่าวเท็จก็ไหลไปเร็วกว่า” 

“รัฐบาลจึงต้องปรับตัวให้ทัน ภูมิภาคเสี่ยงเช่น ไต้หวัน ฮ่องกง มาเก๊า เขามีบูรณาการทุกหน่วยราชการ ระดมทรัพยากร ผู้นำรัฐบาลลงมาสั่งการด้วยตัวเอง เข้มงวดเด็ดขาดมาก ผู้คนไม่แตกตื่นตกใจ แต่ประเทศไทยที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเช่นกันกำลังทำอะไรกันอยู่? การแพร่เชื้อในไทยขณะนี้เป็นอันดับสองรองจากจีน เพียงแต่ยังไม่มีหลักฐานการแพร่เชื้อในหมู่คนไทยด้วยกัน ยังไม่มีคนตาย ที่ผ่านมา หน่วยราชการยังต่างคนต่างทำ ไม่บูรณาการ มีกรณีต้องสงสัยมากถึง 80+ คน ผู้คนก็แตกตื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะอะไร? เพราะขาดภาวะผู้นำ ขาด Leadership!” 

“เหตุการณ์ไปไกลเกินกว่าตัวรมต.สาธารณสุข-อนุทินแล้ว อย่าไปรุมด่าอนุทินอะไรมากมายเลย แกสั่งงานได้แค่ใน ก.สาธารณสุขเท่านั้น!เรียนรู้จากตัวอย่างรัฐบาลไทยรักไทยในอดีต 2003 ไข้หวัด SARS , 2003 กอบกู้คนไทยจากกรณีเผาสถานทูตไทยในพนมเปญ , 2004 มหาภัยสึนามิชายฝั่งอันดามัน ตาย 8,000 , 2005 ไข้หวัดนก ถึงเวลาที่นายกฯประยุทธ์ต้องออกหน้าแสดงภาวะผู้นำด้วยตัวเอง สั่งการรวมศูนย์หน่วยงานและทรัพยากร ออกมาตรการป้องปราม ให้ข้อมูลทันเวลา พาคนไทยในหวู่ฮั่นกลับบ้านโดยด่วน อย่าปล่อยให้ รมต.อนุทินยืนรับก้อนหินและรองเท้าอยู่คนเดียว!”