วันเวลาเปลี่ยน ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปแต่ชีวิตก็ยังคงต้องดำรงกันต่อไป ผมได้ทบทวนชีวิตกว่า 37 ปีในชีวิตการรับราชการที่ผ่านมา มีหลายอย่างที่ได้ทำและอีกหลายอย่างที่อยากทำแต่ทำไม่ได้สิ่งที่เลือกทำ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ณ จุดนั้น แต่เมื่อวันเวลาเปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่เคยเห็นว่าดี ณ เวลานั้น ก็อาจกลายเป็นสิ่งไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันก็เป็นได้จำต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาให้เหมาะสมกับสถานการณ์แวดล้อมที่เป็นปัจจุบัน เช่นเดียวกับการพัฒนาภาคการเกษตร ในยุคเริ่มแรกที่ภาคการเกษตรเป็นส่วนหนึ่งของวิถึชีวิต โดยเฉพาะวิถีชีวิตของผู้คนในเขตชนบท มีความผูกพันระหว่างธรรมชาติกับการทำการเกษตร ประเพณี วัฒนธรรม และความสัมพันธ์ในชุมชน เกิดความรัก ความผูกพัน และการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นรูปแบบของสังคมที่มีความอบอุ่นและห่วงใยซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง
เมื่อวันเวลาผ่านไป วิธีคิดในการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ โดยใช้ภาคการเกษตรเป็นรากฐานในการผลักดันการเจริญเติบโต บริบทต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องถูกนำมาใช้ในการพัฒนาดังกล่าว ผลักดันให้เกษตรกรเป็นฟันเฟืองหนึ่งของระบบการผลิต เริ่มคำนึงถึง input output และ outcome ของระบบการผลิตที่เปลี่ยนไป มองกระบวนการผลิตทางการเกษตร เป็นเหมือนกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรม เทคโนโลยีต่างๆ ถูกพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับกระบวนการผลิตให้ได้ผลตอบแทนสูงสุดซึ่งกำไร-ขาดทุนเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของกระบวนการผลิตในรูปแบบดังกล่าว
หากเมื่อย้อนกกลับไปพิจารณาจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการพัฒนาการเกษตรที่เกิดขึ้น มนุษย์ในยุคโบราณเริ่มรู้จักการเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์แทนการล่าสัตว์และการหาจากธรรมชาติ เพื่อนำมาเป็นอาหารเลี้ยงชีพเป็นหลัก ไม่ได้เริ่มต้นจากการแสวงหาผลตอบแทนสูงสุดแต่ประการใด แต่เมื่อรูปแบบของสังคมเปลี่ยนแปลงไป การพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อสะสมความมั่งคั่ง การแสวงหาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้กับชีวิต การทำการเกษตรกลายเป็นฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจ การนำหลักคิดของกำไรขาดทุนเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาการเกษตร มีการพัฒนาเทคโนโลยี ปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ผิดไปจากเดิมที่เป็นไปตามธรรมชาติ บังคับให้พืช-สัตว์ ติดดอก ออกผล ให้ผลผลิต ตามที่ต้องการ ให้ทันกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และความต้องการอันไม่จำกัดของผู้คนในสังคมโลก ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจากภาคการเกษตรถูกนำไปสร้างความมั่งคั่งให้กับภาคการผลิตอื่นๆ ทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ ตัวอย่างมีให้เห็นอยู่มากเครือข่ายทางธุรกิจของกลุ่มมหาเศรษฐีหลายๆ กลุ่ม เริ่มต้นมาจากธุรกิจเกษตร ก่อนที่จะต่อยอดไปสู่ภาคอื่นๆ และขยายเครือข่ายครอบคลุมไปทั่วโลก
ผลจากการพัฒนาภาคการเกษตรเพื่อเป็นฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ ส่งผลกระทบตีกลับไปยังต้นทุนการผลิตภาคการเกษตรที่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมอันมาพร้อมกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น กระทบสู่แนวทางการลดต้นทุนตามหลักeconomic of scale ซึ่งจำต้องเปลี่ยนจากเกษตรกรรายย่อยพัฒนาเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ ใช้ทุนในการดำเนินการสูงขึ้น เพื่อผลิตให้ได้ปริมาณมากขึ้นเกิดความคุ้มค่าในการลงทุน การผลิตในรูปแบบนี้ทำให้เกิดการผูกขาดในระบบการผลิต เพราะเป็นระบบการผลิตที่กำหนดให้ใช้เทคโนโลยีเฉพาะเจาะจง ต้องใช้ปัจจัยการผลิตตามที่กำหนด มีแบบแผนการผลิตที่แน่นอนและต้องทำตามจึงจะให้ผลผลิตตามที่คาดหวัง การใช้ปัจจัยการผลิตต่างๆ ที่กล่าวถึงย่อมกระทบต่อตนเองและสิ่งแวดล้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมทั้งขยายผลกระทบนั้นสู่ชุมชน สู่สังคมที่กว้างขวางขึ้น กลายเป็นความขัดแย้งของทิศทางการพัฒนาว่าสุดท้ายแล้วการพัฒนาการเกษตรของเราจะก้าวไปทางไหน ระหว่างการพัฒนาเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับคนในชาติ หรือ การใช้การเกษตรเป็นฐานการพัฒนาการเศรษฐกิจของชาติ ได้อย่างก็คงต้องเสียอย่าง จะสร้างสมดุลทั้งสองด้านได้อย่างไร คงต้องคิดและตัดสินใจให้รอบคอบและถี่ถ้วน เพราะหากตัดสินใจพลาด การย้อนกลับมายืน ณ จุดเดิม จะยากยิ่งขึ้นไปอีก
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี