นอกเหนือจากปัญหานักการเมืองฝ่ายรัฐบาลเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวต่างๆ ที่ไม่ชอบมาพากลทั้งเรื่องการรุกพื้นที่ป่า และการลงคะแนนสนับสนุนการผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณในมาตราต่างๆ ที่ทำให้หัวหน้ารัฐบาลหน้าตาค่อนข้างเครียดแล้ว รัฐบาลยังมีปัญหาทางด้านภัยธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และด้านสาธารณสุขรุมเร้าทั้งภัยแล้ง ฝุ่น PM2.5 และ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ยิ่งทำให้หัวหน้ารัฐบาลทั้งเครียดและดูผ่ายผอมลงไป
เรื่องภัยแล้งนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เฉลิมชัย ศรีอ่อน เคยแถลงไปแล้วว่า ในปี 2563 นี้จะเร่งก่อสร้างแหล่งน้ำทั้งขนาดใหญ่
กลาง และเล็ก รวมทั้งแก้มลิง กว่า 400 โครงการซึ่งจะสามารถเก็บกักน้ำได้กว่า 900 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มพื้นที่ชลประทานได้กว่า 1.2 ล้านไร่ ส่วนจะแล้วเสร็จทันที่จะรับน้ำฝนในฤดูฝนที่จะมาถึงนี้หรือไม่ ไม่ยืนยันภารกิจที่ควบคู่ไปกับการสร้างแหล่งน้ำ คือปฏิบัติการฝนหลวง เพื่อช่วยเหลือพื้นที่เพาะปลูก และเพิ่มปริมาณน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ แต่การทำฝนหลวงก็ต้องอาศัยปัจจัย คือสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจึงจะขึ้นปฏิบัติการได้
ภัยแล้งยังแก้ไขไปไม่ถึงไหน ปัญหาฝุ่นPM2.5 ก็กลับมาอีกเหมือนเมื่อปี 2562 แต่ปีนี้ดูจะรุนแรงเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร เมื่อมาผนวกข่าวคราวการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่มาจากประเทศจีนเข้าไปอีก จึงทำให้คนกรุงให้ความสำคัญกับการสวมหน้ากากป้องกันฝุ่นละอองและป้องกันเชื้อโรคกันมากขึ้นจนดูเหมือนอยู่ในเมืองที่ที่อันตรายขั้นวิกฤตทีเดียว
PM2.5 คือฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน หมายถึงฝุ่นที่ละเอียดมาก เทียบเท่ากับแบคทีเรียที่ตาเรามองไม่เห็น PM ย่อมาจากParticulate Matter เป็นฝุ่นละอองที่ละเอียดขนาดที่ระบบป้องกันในร่างกายคนเราไม่สามารถดักจับได้ การหายใจปกติของคนเราก็จะมีฝุ่นนี้เข้าไปสู่ระบบทางเดินหายใจอย่างสบายๆ ตามข้อมูลระบุว่าฝุ่นนี้เป็นสาเหตุหนึ่งของมะเร็งปอด
PM2.5 ส่วนใหญ่เกิดมาจากไอเสียของเครื่องยนต์ดีเซลที่เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ รองลงมาคือ การเผาขยะและเศษสิ่งต่างๆ ส่วนโรงงานที่คิดว่าเป็นสาเหตุนั้นมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นส่วนการก่อสร้างนั้น ก่อให้เกิดฝุ่นเช่นกันแต่เป็นขนาดใหญ่กว่า PM2.5 เป็นขนาด PM 10
ภาคการเกษตร มีส่วนในการสร้างปัญหาฝุ่นละอองจากการเผาเศษซากพืช วัชพืช และวัสดุทางการเกษตร ปลัดกระทรวงเกษตรฯ อนันต์ สุวรรณรัตน์ จึงตั้งคณะทำงานป้องกันและเฝ้าระวังการเผาเศษซากพืช วัชพืช และวัสดุทางการเกษตร ประกอบไปด้วยหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ มาทำงานกันแบบบูรณาการ นัยว่าเป็นการบูรณาการอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพโดยการจัดทำแผนป้องกันและเฝ้าระวังการเผาเศษซากพืชหรือวัชพืช เศษวัสดุทางการเกษตร เสนอแนะมาตรการ และแนวทางในการป้องกัน ติดตามความก้าวหน้าและรายงานผลการดำเนินงานให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ทราบ
โดยสรุปคือ ในปี 2563 นี้จะดำเนินการ 3 โครงการ 1 แผนงาน ได้แก่ โครงการส่งเสริมหยุดเผาในพื้นที่การเกษตร โดยการถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกร และสร้างเครือข่ายเกษตรกรปลอดการเผา ใน 150 ตำบล และศูนย์เรียนรู้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทางการเกษตรอีก หรือ ศพก. ใน 44 จังหวัด จำนวน 226 แห่ง จัดกิจกรรมรณรงค์หยุดการเผา โดยดำเนินการไปแล้วที่ เชียงใหม่ เชียงราย น่าน และนครปฐม
โครงการส่งเสริมการไถกลบและการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อป้องกันหมอกควันในพื้นที่เกษตรภาคเหนือ โดยการไถกลบตอซัง พื้นที่เป้าหมาย 70,000 ไร่ และการผลิตปุ๋ยหมักสูตรพระราชทานจำนวนกว่า 3,600 ตันโครงการส่งเสริมระบบวนเกษตรในเขตปฏิรูปที่ดิน โดยส่งเสริมการปลูกป่า ปลูกไม้ยืนต้น หรือไม้ประจำถิ่น และ มีแผนบรรเทาปัญหาหมอกควันและไฟป่า โดยปฏิบัติการฝนหลวงและดัดแปรสภาพอากาศเพื่อลดความหนาแน่นของหมอกควันและไฟป่า ซึ่งกรมฝนหลวงและการบินเกษตรจะเปิดศูนย์ปฏิบัติการฯ 7 ศูนย์ให้เร็วขึ้น ภายในวันที่3 กุมภาพันธ์ ที่จะถึงนี้
ทั้ง 3 โครงการ 1 แผนงานข้างต้น หน่วยงานที่รับบทหนักคือ กรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ มอบหมายให้เกษตรจังหวัด เป็นผู้บูรณาการการดำเนินการทั้งโครงการและแผนงานในพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานการปฏิบัติงานร่วมกับกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด มอบเกษตรอำเภอ ร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ที่อยู่ในพื้นที่ จัดตั้งชุดปฏิบัติการออกสำรวจ และแจ้งเหตุการเผาในพื้นที่การเกษตร พร้อมทั้งทำการป้องปราม ระงับ ยับยั้งการเผาในพื้นที่เกษตรด้วย
ให้กรมส่งเสริมการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน กรมฝนหลวงและการบินเกษตร และสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม อำนวยการ กำกับ ติดตาม ให้หน่วยงานในระดับจังหวัดปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องขณะเดียวกันก็ให้อธิบดีและหัวหน้าหน่วยงานสนับสนุนการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ในสังกัดที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดต่างๆอย่างเต็มที่
ส่วนงานเบาๆ อย่างการรายงานผลการดำเนินงานในพื้นที่ให้ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ทราบ เป็นหน้าที่ของเกษตรและสหกรณ์จังหวัด การติดตามผลการดำเนินงานในพื้นที่ก็ให้เป็นหน้าที่ของผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯ นอกจากนี้ยังจัดตั้งคณะทำงานอีก 3 ชุด ดูแล 3 พืช คือ ข้าว ข้าวโพด และอ้อย
เพื่อสำรวจพื้นที่ที่อาจจะยังมีการเผาและมีแนวโน้มที่จะมีการเผาเศษซากจากพืชดังกล่าวภายหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อเตรียมพื้นที่ปลูกใหม่ พร้อมทั้งหามาตรการในการหยุดการเผาทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อไป
จะว่าไปโครงการและแผนงานที่ว่ามานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เห็นกรมส่งเสริมการเกษตรทำมานานหลายปี แต่ยังไม่สำเร็จ ไม่ใช่คนเผาไม่รู้ถึงผลเสียที่ตามมา แต่อยู่ที่จิตสำนึกมากกว่า ส่วนคณะทำงานที่ตั้งขึ้นมาดำเนินการนี้ถ้าผู้ใหญ่ไม่ตามจี้ และไม่เห็นความสำคัญของภารกิจนี้ ก็ยากที่จะประสบผลสำเร็จอีกเช่นกัน
แว่นขยาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี