เชื่อเหลือเกินว่าสำหรับคอลูกหนังชาวไทยทั้งที่หวังลงฟาดแข้งเป็นอาชีพหารายได้เลี้ยงตัวหรือเล่นเพื่อสุขภาพและความสนุกสนานกระชับมิตรมักมี“รายการฟุตบอลลีก (League)สโมสรยุโรป” คือแรงบันดาลใจในการเริ่มเล่นกีฬาฟุตบอล ไล่ตั้งแต่พรีเมียร์ลีกของอังกฤษที่ชาวไทยรู้จักดีแม้แต่กับคนที่ไม่ได้สนใจกีฬาฟุตบอลเลยก็ตาม หรือลา ลีกา ของสเปน บุนเดสลีกา ของเยอรมนี กัลโช่ เซเรียอา ของอิตาลี เป็นต้น ซึ่งลีกเหล่านี้มีวิวัฒนาการมานับร้อยปีกว่าจะมีมูลค่าการตลาดสูงมากในปัจจุบัน รวมถึงเป็นต้นแบบให้ประเทศอื่นๆ ที่อยากมีฟุตบอลลีกของตนเองบ้าง
เมื่อปลายเดือน ม.ค. 2563 ที่ผ่านมา ศูนย์ยุโรปศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดสัมมนานำเสนอผลงานวิจัย ครั้งที่ 1/2563 ในหัวข้อ “บริบทในทางสิทธิมนุษยชนของการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ : การศึกษากฎหมายสหภาพยุโรป” โดยมี ผศ.ดร.ปีดิเทพ อยู่ยืนยงอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ นายทินกฤต นุตวงษ์ พนักงานมหาวิทยาลัยสายปฏิบัติงานคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นผู้ร่วมศึกษาในประเด็นดังกล่าว
อาจารย์ปีดิเทพ ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้บรรยาย เล่าว่า หากย้อนไปช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 (ค.ศ.1800-1899 หรือ พ.ศ.2343-2442)อันเป็นเวลาที่หลายประเทศในยุโรปเริ่มมีการก่อตั้งทีมฟุตบอลตามเมืองหรือชุมชนต่างๆ ตัวนักฟุตบอลเองยังไม่ได้มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ และแม้จะมีฝีเท้าขั้นเทพเพียงใดก็ไม่ได้มีสโมสรทั้งในและนอกประเทศมาแย่งซื้อตัวไปร่วมทีมอย่างในปัจจุบัน เพราะระบบการจ่ายค่าจ้างและการโอนย้ายยังไม่เอื้ออำนวย
“เขามีระบบที่เรียกว่ารีเทนแอนด์ทรานส์เฟอร์ซิสเต็ม (Retain& Transfer System) สโมสรสามารถให้นักกีฬาฟุตบอลคงอยู่กับสโมสรเหมือนเดิมก็ได้ จนกว่าสโมสรดังกล่าวจะอนุญาตให้นักฟุตบอลย้ายไปสังกัดสโมสรใหม่ ลองนึกถึงพนักงานมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง สมมุติมหาวิทยาลัยนั้นใช้รีเทนแอนด์ทรานส์เฟอร์ซิสเต็ม ยังไม่อนุญาตให้โอนย้ายไปไหน คุณจะไปสอน ไปเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยที่อื่นไม่ได้
ในขณะเดียวกัน สโมสรเขาอยากจะขายด้วยเหตุผลทางการเงินหรืออื่นๆ เขาก็จะอนุญาตให้คุณทรานส์เฟอร์ (Transfer-ย้าย) ไปได้ไม่ว่าจะหมดสัญญาแล้วก็ดีหรือสัญญายังมีผลอยู่ก็ตาม เขาเรียกว่าขายนักกีฬาคนดังกล่าวไป เพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจบางอย่าง อันนี้คือลักษณะของระบบเก่าคือรีเทนแอนด์ทรานส์เฟอร์ซิสเต็ม ผมย้อนถามว่าระบบนี้ถ้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเขาไม่อนุญาตให้เราไปสอนที่อื่น แล้วเราจะต้องไปมีครอบครัวที่อื่นแต่เรายังติดสัญญาอยู่ สโมสรต้นสังกัดไม่ยอมปล่อยเราสักที
อย่างนี้มันก็ไม่ยุติธรรมต่อชีวิตส่วนตัว ไม่ยุติธรรมในฐานะที่เราเป็นแรงงานในตลาดแรงงาน แต่เดิมระบบของประเทศอังกฤษมันเอื้อกับการอยู่ลักษณะลองเทอม (LongTerm-ระยะยาว) หรือรับใช้สโมสรดังกล่าวไปจนวันตาย ค่าแรงปัจจุบันมีการรับประกันค่าแรงขั้นต่ำ แต่สมัยก่อนเขาไม่ใช่ค่าแรงขั้นต่ำ สมัยที่เป็นระบบรีเทนแอนด์ทรานส์เฟอร์ซิสเต็มเขาเป็นลักษณะรับประกันค่าแรงขั้นสูงต่อสัปดาห์ ก็คือคุณจะตกลงกันอย่างไรก็ได้แต่ไม่เกิน 4 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ถ้าในสมัยนั้นก็เยอะมากประมาณหลายหมื่นบาทถ้าตีเป็นเงินไทยค่าเงินปัจจุบัน” อาจารย์ปีดิเทพกล่าว
อาจารย์ปีดิเทพ เล่าต่อไปว่า นอกจากการจำกัดเพดานรายได้นักฟุตบอลแล้ว การจ่ายเงินซื้อ-ขายนักเตะระหว่างสโมสรฟุตบอล หรือเรียกอย่างเป็นทางการว่า “ค่าธรรมเนียมโอนย้าย” ในยุครีเทนแอนด์ทรานส์เฟอร์ซิสเต็มก็ถูกจำกัดเพดานเช่นกัน “เพดานราคาซื้อ-ขายนักเตะในอดีตกำหนดให้ไม่เกิน 350 ปอนด์ต่อคน” ไม่ว่านักฟุตบอลคนนั้นจะเล่นเก่งเพียงใดก็ตาม ระบบนี้ “นักฟุตบอลก็ไม่ค่อยอยากย้ายทีม..สโมสรก็ไม่มีแรงจูงใจที่จะขาย” จึงนำไปสู่ความพยายามแก้ไขระบบนี้ในเวลาต่อมา
จุดเปลี่ยนสำคัญครั้งแรกเกิดขึ้นในประเทศอังกฤษ ช่วงต้นทศวรรษ1960 (ปี 2503-2512) กรณีของ จอร์จ อีสแฮม (George Eastham) อีสแฮม เล่นอยู่กับ “สาลิกาดง”นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด (Newcastle United) กระทั่งหมดสัญญาก็อยากจะย้ายไปเล่นให้ทีมอื่น แต่ทางสโมสรนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ไม่ยินยอม คดีนี้มีการฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล จนมีคำวินิจฉัยในปี 2507 ที่กลายเป็น “บรรทัดฐานใหม่” ในการย้ายทีมของนักฟุตบอล
“ศาลมองว่าการไม่ปล่อยให้นักกีฬาฟุตบอลแม้ว่าหมดสัญญาแล้วไปสังกัดสโมสรใหม่ ดูมันไม่เป็นธรรมต่อนักกีฬาฟุตบอล ท้ายที่สุดศาลเลยเพิกถอนกฎเฉพาะในส่วนของรีเทน ดังนั้นถ้าหากนักกีฬาฟุตบอลหมดสัญญาแล้ว สามารถที่จะไปสังกัดสโมสรใหม่ได้แม้ว่าสโมสรเดิมจะไม่อนุญาตก็ตามทีอันนี้ก็คือการตัดคำว่ารีเทน เหลือแค่ทรานส์เฟอร์ซิสเต็ม แล้วอิทธิของลีกประเทศอังกฤษมันก็แพร่ขยายผ่านลักษณะของยูโรเปียนไนเซชั่น (Europeanization) ก็คือทำให้ระบบการกีฬามันเหมือนกันทั่วทั้งยุโรป” อาจารย์ปีดิเทพ ระบุ
ยังมีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1990(ปี 2533-2542) เมื่อ ฌอง-มาร์ค บอสแมน (Jean-Marc Bosman) นักฟุตบอลชาวเบลเยียมที่เล่นอยู่กับสโมสร อาร์เอฟซี ลีก์ (RFC Liege)ในเบลเยียม ต่อมาเมื่อหมดสัญญาก็คิดจะย้ายไปร่วมทีม ดันเคิร์ก (Dunkerque)ในฝรั่งเศส แต่ติดปัญหาตรงที่สโมสรดันเคิร์กไม่มีเงินพอจะจ่ายให้กับอาร์เอฟซีลีก์ ที่ตั้งค่าตัว บอสแมน ไว้สูง
นอกจากจะไม่ได้ย้ายไปทีมใหม่ตามที่ตั้งใจไว้แล้ว บอสแมน ยังถูกต้นสังกัดเดิม “ดองยาว” ไม่ให้ลงสนามอีกต่างหาก นำไปสู่การฟ้องต่อ ศาลยุติธรรมสหภาพยุโรป (CJEU) เนื่องจากสหภาพยุโรป (EU) มีกฎหมายคุ้มครองเสรีภาพ เช่น เสรีภาพในการเดินทางและเลือกถิ่นที่อยู่ (Freedom of Movement) เสรีภาพในการสมาคม (Freedom of Association) ซึ่งในปี 2538 ศาลยุโรปมีคำวินิจฉัยว่า “กรณีของบอสแมนเข้าข่ายสัญญาที่ไม่เป็นธรรม” นำไปสู่การวางบรรทัดฐานให้ลีกฟุตบอลของทุกชาติในยุโรปต้องปล่อยนักเตะที่หมดสัญญาแล้วย้ายทีมได้อย่างอิสระ
จากทั้ง 2 กรณีข้างต้น เมื่อนักฟุตบอลมีอิสระในการย้ายทีมหลังหมดสัญญา ทำให้ระบบเพดานค่าจ้างขั้นสูงของนักฟุตบอลและเพดานราคาซื้อ-ขายนักเตะระหว่างสโมสรต่างๆ พลอยเสื่อมความนิยมและถูกเลิกใช้ไปด้วย นักฟุตบอลยิ่งฝีเท้าดียิ่งได้ค่าเหนื่อยสูง เช่นเดียวกับทีมที่มีผู้เล่นเก่งๆจำนวนมากอาจทำกำไรได้มหาศาลทั้งทางตรงอย่างการขายนักฟุตบอลให้กับทีมอื่นที่สนใจและกล้าจ่าย และทางอ้อมคือการขายสินค้าที่เกี่ยวข้อง เช่น เสื้อชุดแข่งที่ด้านหลังสกรีนหมายเลขและชื่อนักฟุตบอลคนดังเหล่านั้น รายได้จากค่าโฆษณา ฯลฯ
ปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นในยุคนี้คือ “ความห่างชั้นระหว่างทีมฟุตบอลบางทีมที่มีเงินถุงเงินถังกับทีมอื่นๆ ในลีกเดียวกันเริ่มมีมากเกินไป” เช่น กรณีของ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด (Real Madrid) แห่งลา ลีกา ของสเปน ยุคหนึ่งนิยมกว้านซื้อนักเตะฝีเท้าดีจากทุกลีกชั้นนำของยุโรปไปรวมกันในสโมสรของตน หรือทีมในพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ซิตี้ (Manchester City) ซึ่งมีฐานะร่ำรวย ถูกมองว่าได้เปรียบอีกหลายทีมฅร่วมลีก นำมาสู่การออกกฎระเบียบบางอย่างที่หวังจะ “ลดช่องว่าง” ระหว่างทีมใหญ่กับทีมเล็ก
“ถ้ามองในแง่แฟร์คอมเพตติชั่น(Fair Competition-การแข่งขันที่เป็นธรรม) เขาจะมีกฎเกณฑ์ ยูฟ่า(UEFA สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป) เขาออกไฟแนนเชียลแฟร์เพลย์เรกูเลชั่น (Financial Fair Play Regulation) ให้สโมสรฟุตบอลอาชีพแต่ละสโมสรสามารถใช้วงเงินได้เท่ากัน คุณจะใช้เงินเท่าไรก็ได้ แต่คุณจะใช้งบประมาณได้เท่าที่ยูฟ่าจำกัดรวมไปถึงวงเงินที่เป็นทรานส์เฟอร์ฟี(Transfer Fee-ค่าธรรมเนียมโอนย้าย)นั่นหมายถึงทีมที่เล่นในยูฟ่าจะถูกจำกัดวงเงิน ซึ่งนั่นคือวงเงินที่ใช้ซื้อตัวนักกีฬาฟุตบอล” อาจารย์ปีดิเทพ อธิบาย
ถึงกระนั้น กฎเกณฑ์ข้างต้นก็มี “ข้อถกเถียง” เช่นกัน นักวิชาการด้านกฎหมายผู้นี้ กล่าวว่า ในมุมหนึ่งแม้จะเป็นการเกลี่ยนักเตะฝีเท้าดีให้กระจายตัวกันอยู่ในหลายๆ สโมสร ไม่ใช่กระจุกอยู่แต่เพียงไม่กี่ทีม สโมสรขนาดเล็กงบประมาณทำทีมไม่มากนักอาจชอบเพราะยังพอมีโอกาสรั้งตัวนักฟุตบอลเก่งๆ ให้อยู่กับทีมได้บ้าง แต่สโมสรยักษ์ใหญ่อาจไม่ชอบกฎนี้ก็ได้ เพราะเป็นอุปสรรคในการทุ่มเงินซื้อนักเตะ
มาเพิ่มมูลค่าให้กับทีมของตน
หรือแม้แต่ “โควตาสัญชาติ” ด้านหนึ่งสโมสรฟุตบอลเกิดขึ้นจากท้องถิ่นหรือชุมชน ในช่วงหนึ่งจึงมีการออกกฎให้แต่ละทีมต้องใช้ผู้เล่นที่เป็นคนสัญชาติต้นสังกัดของทีมนั้นมากกว่านักเตะจากต่างแดน เช่น ทีมในลีกอังกฤษลงสนาม 11 คน ต้องใช้ผู้เล่นชาวอังกฤษ 6 คน ที่เหลืออีก 5 คนจึงใช้ผู้เล่นต่างชาติ เพื่อให้สโมสรยังคงรักษาการมีส่วนร่วมของชุมชนหรือคนในประเทศเดียวกันไว้ได้ อีกทั้งยังกระตุ้นให้แต่ละทีมต้องลงทุนพัฒนาผู้เล่นของตนเองให้เก่งขึ้นมากกว่าคิดแต่จะซื้ออย่างเดียว แต่อีกด้านหนึ่งกฎข้างต้นก็ขัดกับหลักเสรีภาพที่สหภาพยุโรปรับรองไว้เช่นกัน
“จากยุโรปย้อนมองไทย” อาจารย์ปีดิเทพ ทิ้งท้ายด้วยการยกตัวอย่างวงการฟุตบอลของอังกฤษ ในอดีตยุคแรกๆ ของการเริ่มจัดการแข่งขัน สโมสรฟุตบอลกับการเมืองยังมีส่วนเกี่ยวพันกัน โดยผู้บริหารทีมฟุตบอลมักจะมีฐานเสียงทางการเมืองจากแฟนบอลทีมนั้นๆ ด้วยในยามที่ลงสมัครรับเลือกตั้งการเมืองท้องถิ่นเช่น นายกเทศมนตรี จึงมีหลายคนหันมาทำทีมฟุตบอลเพราะอยากได้ฐานเสียงทางการเมือง ซึ่งคล้ายกับสถานการณ์ของวงการฟุตบอลไทยในปัจจุบัน ที่หลายสโมสรมีนักการเมืองท้องถิ่นเป็นผู้บริหารหรือผู้สนับสนุนรายสำคัญ
ขณะเดียวกัน “สถาบันฝึกอบรม(Academy)” ที่รับเด็กและเยาวชนมาฝึกฝนทักษะกีฬาฟุตบอล ในอังกฤษปัจจุบันดำเนินการโดยสโมสรฟุตบอลแต่ละแห่ง เพื่อคัดเลือกดาวรุ่งไปเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพของทีม แต่สำหรับประเทศไทย สถาบันฝึกอบรมเหล่านี้ดำเนินการอย่างเกี่ยวข้องกับกลไกของรัฐโดยเฉพาะ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีงบประมาณเพื่อใช้สนับสนุน
โดยสรุปก็คือ “ในภาพรวมวงการฟุตบอลไทยวันนี้ยังผูกพันกับการเมือง” ส่วนจะสามารถยกระดับไปสู่การบริหารเชิงธุรกิจอย่างเต็มที่เฉกเช่นในยุโรปได้มากน้อยเพียงใด..เป็นเรื่องของอนาคตที่ต้องติดตาม!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี