ทุกคนต่างทราบดีว่าประเทศไทยของเรามีพื้นฐานเป็นประเทศเกษตรกรรม แม้ว่าปัจจุบันภาคเกษตรกรรมมีส่วนแบ่งของ GDP ไม่มากเท่าภาคอื่น แต่ยังคงเป็นภาคที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติ การกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องการเกษตรจึงเป็นประเด็นสำคัญที่ฝ่ายการเมืองยกมาหาเสียงกับประชาชน และเมื่อมีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศ ก็ต้องนำนโยบายที่ประกาศไว้มาดำเนินการ แต่สถานการณ์ของรัฐบาลที่เป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค นโยบายที่แต่ละพรรคการเมืองประกาศไว้จึงต้องถูกปั่นรวมกัน และสร้างนโยบายขึ้นมาใหม่ เป็นนโยบายของรัฐบาลโดยตรง และเมื่อแบ่งงานแบ่งกระทรวงกันบริหารนโยบายพรรคกับนโยบายรัฐบาลไม่สอดคล้องกัน บริหารกันไปทางสองทาง สามทาง สี่ทาง ตามจำนวนรัฐมนตรีผลงานที่ออกมาจึงเหมือนกับการพายเรือวนอยู่ในอ่าง ไม่ไปไม่มา เผลอๆ อาจเรือล่มกันได้ง่ายๆ
ในบรรดานโยบายที่สำคัญของรัฐบาลที่เกี่ยวกับการเกษตร หนึ่งในนโยบายที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ นั่นคือ นโยบายประกันราคาข้าว โดยข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญอันดับต้นๆ ของประเทศ เกี่ยวข้องกับชีวิตของเกษตรกรเป็นจำนวนมาก การกำหนดนโยบายประกันราคาข้าวเป็นนโยบายที่รัฐบาลคาดหวังไว้มากว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องราคาข้าวให้กับชาวนาได้อย่างเด็ดขาด ไม่เป็นปัญหาให้คาราคาซังกันอีกต่อไป สามารถสร้างความมั่นคงในอาชีพทำนาได้อย่างแท้จริง มีการกำหนดเป้าหมาย เงื่อนไขการดำเนินงาน การเตรียมการเพื่อป้องกันปัญหาการทุจริต เพื่อผลักดันให้นโยบายดังกล่าวเกิดขึ้นและเห็นผลได้จริง
อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบและพิจารณาลึกลงไปในรายละเอียด จะพบว่าแนวคิดในการดำเนินการ การจัดวางนโยบาย การกำหนดหลักเกณฑ์ต่างๆ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนนโยบาย ยังขาดการเข้าใจพื้นฐานอาชีพการทำนาของชาวนาในแต่ละภูมิภาคของไทย หลักการและวิธีการขับเคลื่อนนโยบายที่ไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดว่า พฤติการณ์ของการทำนาในแต่ละภูมิภาคของไทยมีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร ผู้กำหนดนโยบายที่ขาดพื้นฐานความเข้าใจด้านนี้ย่อมทำให้การตัดสินใจมีจุดบกพร่อง เปิดช่องให้ความล้มเหลวเข้ามาได้ และส่งผลต่อผลสำเร็จของนโยบายในที่สุด
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขหนึ่งที่กำหนดขึ้นมา คือ ชาวนาที่จะเข้าร่วมใช้สิทธิประโยชน์จากนโยบายนี้ต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกรไว้กับกรมส่งเสริมการเกษตร ประเด็นคือ การขึ้นทะเบียนเกษตรกรของกรมส่งเสริมการเกษตร กำหนดอย่างชัดเจนว่าครัวเรือนเกษตรกรผู้ขอขึ้นทะเบียนจะต้องเป็นผู้ประกอบการเกษตร เป็นอาชีพหลัก หรืออาชีพรองก็ได้ โดยครัวเรือนเกษตรกร1 ครัวเรือน จะมีตัวแทนมาขอขึ้นทะเบียนได้เพียง 1 คนเท่านั้น ซึ่งการขึ้นทะเบียน/ปรับปรุงทะเบียนเกษตรกร สามารถดําเนินการได้ทุกลักษณะการถือครองที่ดิน ทั้งที่ดินของครัวเรือนเอง การเช่า หรือ อื่นๆ เช่น ให้ทําฟรี หรือ ที่สาธารณประโยชน์ เป็นต้น
ประเด็นที่น่าสนใจคือ ชาวนาในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา เกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นนาเช่า และรูปแบบของการเช่านามีทั้งการทำสัญญาเช่าเป็น
ลายลักษณ์อักษร หรือการเช่าแบบสัญญาใจ เมื่อนโยบายประกันราคาข้าวกำหนดให้ต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกร ชาวนาที่เช่านาแบบสัญญาใจ หรือเช่านาแบบเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ไม่ได้มีตัวหนังสือสัญญาอยู่ในมือก็ไม่สามารถเข้ามาใช้สิทธิประโยชน์นี้ได้ แต่กลายเป็นว่า เจ้าของที่นา มาขึ้นทะเบียนเป็นเกษตรกรเอง และรับประโยชน์ไปเอง หรือแม้แต่การกำหนดราคารับซื้อของผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดข้าว ยิ่งทำให้กลไกทางการตลาดบิดเบือนและบิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริง ความคาดหวังต่อผลที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายดังกล่าว จึงยังไม่สามารถระบุให้ชัดเจนว่า ชาวนาคือผู้ได้ประโยชน์ที่แท้จริง
แน่นอนว่า การกำหนดโนบายและการขับเคลื่อนนโยบายที่ขาดความรอบคอบ ขาดพื้นฐานของความแตกต่างในระบบการผลิตของในแต่ละภูมิภาค ย่อมส่งผลต่อความสำเร็จและความล้มเหลวของนโยบายอย่างไม่ต้องสงสัย จะดีกว่าไหม หากจะทำความเข้าใจให้ลึกซึ้ง เข้าถึงสภาพที่แท้จริง ก่อนที่จะกำหนดนโยบายในการพัฒนา เพื่อให้เราเดินหน้ากันได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี