เจ้าของฟาร์มชื่อดังบ่อพลอย เมืองกาญจน์ หนุนโครงการ 'โคขุนสร้างชาติ'

เจ้าของฟาร์มชื่อดังบ่อพลอย เมืองกาญจน์ หนุนโครงการ 'โคขุนสร้างชาติ'

วันพฤหัสบดี ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563, 20.06 น.

เจ้าของฟาร์ม ชื่อดัง อ.บ่อพลอย หนุนโครงการ “โคขุนสร้างชาติ” แนะเกษตรกรชาวกาญจน์ จดทะเบียนกลุ่มวิสาหกิจ เข้าร่วม  พร้อมชวนรับฟังรายละเอียดโครงการ จากทีมงาน รอง รมช.เกษตรฯ 15 ก.พ.นี้  ที่ “ทศพล ฟาร์ม”

จากกรณีรัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินการขับเคลื่อนโครงการภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU) โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง ระหว่าง กระทรวงเกษตรฯ โดย กรมปศุสัตว์ กับธ.ก.ส.เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติซ้ำซากในหลายพื้นที่ของประเทศ จึงมีนโยบายช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนให้ประกอบอาชีพสร้างรายได้เพิ่มขึ้น โดย 1 ในนั้นคือ “โครงการ โคขุนสร้างชาติ”


ล่าสุดวันที่ 13 ก.พ.63 นายทศพล พาณิชย์อำนวยสุข หรือโก้ยุ่ง อายุ 53 ปี เจ้าของ “ทศพล ฟาร์ม” เลขที่ 38 หมู่ 11 ต.บ่อพลอย อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี เปิดเผยว่า ตนเปิดฟาร์มเลี้ยงโคพันธุ์บราห์มัน และกระบือ บนเนื้อที่กว่า 200 ไร่มาได้ประมาณ 8 ปีแล้ว หลักแนวคิดง่ายๆก็คือว่า เราอยากหาอะไรมาซัพพอร์ตในที่ดินของเรา ก็เลยลองทำการเกษตร สมมุติว่าเราปลูกข้าวลงดินไป 1 เม็ด เราได้มา 100 เม็ด แต่เกษตรกรก็ยังไม่รวย อ้อย 1 ลำ ปลูกได้ 5 กอ กอละ 10 ลำ หรือปลูก 1 ลำได้ 50 กอ เกษตรกรก็ยังไม่รวย ทำอย่างไรเกษตรกรก็ยังไม่รวยอยู่ดี

ต่อมาลองมาเลี้ยงไก่และวัว สุดท้ายการลองผิดลองถูกมาจบอยู่ที่การเลี้ยงวัว ซึ่งการเลี้ยงวัวก็จะมีโมเดลให้กับเกษตรกรง่ายๆก็คือว่า ถ้าเกษตรกรมีที่ดินอยู่ประมาณ 30 ไร่ แล้วเลี้ยงวัวประมาณ 12 ตัว เมื่อลูกวัวออกมาครั้งแรก จำนวน 12 ตัว เกษตรกรก็อย่าเพิ่งขาย และถ้าหากลูกวัวออกมาครบ 36 ตัว เกษตรกรจึงนำไปขาย โดยให้ขายเดือนละ 1 ตัว โดยเฉพาะวัวที่เกิดก่อน ซึ่งจะมีรายได้มากถึงเดือนละ 3-5 หมื่น ซึ่งตนมีแนวคิดเช่นนี้ ฟาร์มของตนจึงมีการพัฒนาขึ้นมาใหญ่ขึ้น ปัจจุบันฟาร์มของตนมีโคพันธุ์บราห์มันอยู่ประมาณ 190 ตัว ส่วนกระบือมีอยู่ จำนวน 32 ตัว

 

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะที่เป็นเจ้าของฟาร์มขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในพื้นที่อำเภอบ่อพลอย มองอย่างไร่กับ “โครงการ โคขุนสร้างชาติ” ของรัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์”โก้ยุ่ง ตอบว่า สำหรับโครงการนี้ตนเป็นตัวแทนผู้ซื้อในจังหวัดกาญจนบุรี โดยโครงการเป็นโครงการที่ดี ส่วนตัวแล้วเห็นว่าโครงการดังกล่าวจะทำให้เกษตรกรที่เข้าร่วมกลุ่มจดทะเบียนเป็นกลุ่มวิสาหกิจ มีเงินใช้ในระยะสั้น เมื่อเข้าสู่กระบวนการแล้ว อีกประมาณ 4 เดือนเท่านั้นเกษตรกรก็จะมีรายได้แล้ว

สำหรับหลักการของโครงการก็คือ ให้เกษตรกรที่ให้ความสนใจ รวมตัวกันกลุ่มละ 10 คน จากนั้นให้ไปจดทะเบียนกลุ่มวิสาหกิจที่เกษตรอำเภอ เมื่อได้รับอนุญาต ก็ไปยื่นให้กับปศุสัตว์อำเภอ เมื่อปศุสัตว์รับรอง  ตนในฐานะเป็นตัวแทนผู้ซื้อโคขุน ก็จะดำเนินการจัดทำแผนธุรกิจเพื่อรับซื้อคืนจาก ธ.ก.ส.จากนั้นทาง ธ.ก.ส.จึงจะปล่อยเงินให้กับกลุ่มเกษตรกร

สำหรับวิธีการปล่อยเงินนั้น ธ.ก.ส.จะปล่อยให้เป็นวัวและอาหารแทน โดยเกษตรกรจะได้รับเฉพาะเงินที่เป็นส่วนต่างเท่านั้น โดยโมเดลก็คือ วิสาหกิจ 1 กลุ่ม มี 10 คน เกษตรกรจะได้คนละเงิน 1 ล้านบาท วัวตัวละ 5 หมื่นบาท นั่นหมายถึงเกษตรกรจะได้วัวคนละ 20 ตัว เมื่อวัวขุนได้น้ำหนักตามที่กำหนด ก็จะมีการทยอยรับซื้อโคขุนจากเกษตรกรกลุ่มละประมาณ 50 ตัว เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ไปหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 20,000-25,000 บาทในแต่ละเดือน

 

 

สำหรับแผนการเรื่องการตลาดนั้นคือ เราเป็นตำแทนคอกกลางระดับจังหวัด เมื่อซื้อแล้วก็จะส่งไปยังคอกกลางที่ส่วนกลาง เพื่อส่งไปขายที่ประเทศจีน ซึ่งทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU)กับประเทศจีนไปแล้ว

ทั้งนี้ นายทศพล พาณิชย์อำนวยสุข หรือโก้ยุ่ง ยังฝากไปถึงเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการว่า หากเกษตรกรกลุ่มใดไม่มีพื้นที่ในการสร้างโรงเรือน สามารถมาพบตนได้เลย ตนยินดีจะมอบพื้นที่ที่อยู่รอบๆฟาร์มให้สร้างโรงเรือนได้ หรือหากขาดเหลืออะไรตนจะช่วยจัดการให้

สำหรับวันเสาร์ที่ 15 ก.พ.เวลาประมาณ 15.30 น.จะมีคณะของท่านประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาให้ข้อมูลเพื่อชี้แจงรายละเอียดของโครงการ ให้เกษตรได้เข้าใจอีกครั้งหนึ่ง โดยในวันดังกล่าวคาดว่าจะมีเกษตรกร ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี มาร่วมรับฟังมากกว่า 200 คน
 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top