คดีโกงหุ้น 300 ล้าน ศาลสั่งคุก 8 ปี ไม่รอลงการลงโทษเสี่ย"บรรยิน" ส่วนอดีตพริตตี้-อดีตโบรกเกอร์คนสนิทบรรยิน คุกคนละ 4 ปี ยกฟ้องแม่โบรกเกอร์ พี่สาวเสี่ยจืด ตามคาดเวลาที่ รอคอย เตรียมคัดคำพิพากษาเสนอศาลเล่นงานบรรยินคดีฆาตกรรมเสี่ยจืด ร้อง อสส.ตรวจสอบการทำงานอธ.อัยการคนก่อนโปร่งมาหรือไม่ที่สั่งไม่ฟ้อง บรรยินโกงหุ้น หากยิ่นฟ้องคดีจบไปนาน2 ปี จนไม่น่าเกิดเหตุสลดอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน
วันที่ 20 มีนาคม 2563 เวลา 09.00 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง 63 ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีปลอมเอกสารโอนหุ้นมูลค่ร 300 ล้านบาทของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง หรือเสี่ยจืด วัย 50 ปี นักธุรกิจรับเหมาหมื่นล้าน (คดีหมายเลขดำ อ.305/2561 , อ.3352,อ.3354/2559 รวมพิจารณาทั้งหมดเป็นคดีเดียวกัน) ที่พนักงานอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 เป็นโจทก์ และนางศิริรัตน์ แซ่ตั๊ง อายุ 55 ปี ภรรยาของนายชูวงษ์ ในฐานะผู้จัดการมรดกสามีและบุตรรวม 4 รายผู้เสียหาย เป็นโจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง น.ส.กัญฐณา หรือน้ำตาล ศิวาธนพล อายุ 30 ปี อดีตพริตตี้ที่รู้จักกับนายชูวงษ์ , น.ส.อุรชา หรือป้อนข้าว วชิรกุลฑล (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อ น.ส.วัชรียา หรือน้ำมนต์ วัชรประยงค์วุฒิ) อายุ 29 ปี เจ้าหน้าที่การตลาดหรือโบรกเกอร์บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง และคนสนิทของ พ.ต.ท.บรรยิน , พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อายุ 57 ปี อดีต รมช.พาณิชย์ และ น.ส.ศรีธรา พรหมา อายุ 56 ปี มารดาของน้องป้อนข้าวเป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 268 , ลักทรัพย์ 334, 335 วรรคหนึ่ง (5) (7) กับวรรคสาม , รับของโจร 357
โดยครอบครัวนายชูวงษ์ ยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 13 ต.ค.59 ส่วนอัยการ ยื่นฟ้องคดีภายหลังเมื่อวันที่ 1 ก.พ.61 สำหรับพฤติการณ์แห่งคดี ได้กล่าวหาพวกจำเลยร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและโอนหุ้น มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ของนายชูวงษ์ไปโดยมิชอบ ก่อนที่นายชูวงษ์จะเสียชีวิตจากเหตุรถยนต์หรูยี่ห้อเลกซัสสีดำ ทะเบียน ภฉ 1889 กทม. ของนายชูวงษ์ ซึ่ง พ.ต.ท.บรรยิน เป็นผู้ขับ เกิดเสียหลักไปชนกับต้นไม้ที่ริม ถ.เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ระหว่างซอย 48 กับซอย 50 แขวงดอกไม้ เขตประเวศ กทม. ช่วงปี 2558
โดยพฤติการณ์คดีได้กล่าวหา ว่า น.ส.กัญฐณา จำเลยที่ 1 ซึ่งรู้จักกับนายชูวงษ์ และ พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 3 ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม ไปดำเนินการถอนและโอนหลักทรัพย์ของนายชูวงษ์ ต่อบริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี โอเอสเค ประเทศไทย ขณะที่ น.ส.อุรชา จำเลยที่ 2 โบรกเกอร์ซึ่งเป็นคนสนิทของ พ.ต.ท.บรรยิน นั้น ร่วมกับ พ.ต.ท.บรรยิน ปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม ไปดำเนินการถอนและโอนหลักทรัพย์ของนายชูวงษ์ ต่อบริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน)
ส่วนคดีที่ครอบครัวนายชูวงษ์ยื่นฟ้องนั้น กล่าวหาว่า พวกจำเลยมีการจัดทำใบขอถอน/โอนหลักทรัพย์ด้วยปากกาพิเศษที่สามารถลบได้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระงับสิทธิระหว่างนายชูวงษ์ กับบริษัทหลักทรัพย์ (AEC จก.) วันที่ 5 มิ.ย.58 จำเลยร่วมกันนำเอกสารนั้น-สำเนาบัตร ปชช.นายชูวงษ์ ไปยื่นขอโอนหุ้นมูลค่า 38,050,000 บาทกับบริษัทหลักทรัพย์ไปโดยทุจริต และกรณีกล่าวหาจัดทำใบขอถอน/โอนหลักทรัพย์ด้วยปากกาพิเศษที่สามารถลบได้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระงับสิทธิระหว่างนายชูวงษ์ กับบริษัทหลักทรัพย์ (RHB) วันที่ 22 มิ.ย.58 จำเลยร่วมกันนำเอกสารนั้น-สำเนาบัตร ปชช.นายชูวงษ์ ไปยื่นโอนหุ้นมูลค่า 228 ล้านกับบริษัทหลักทรัพย์ไปโดยทุจริต ซึ่งจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ และได้ประกันตัวไปด้วยหลักทรัพย์ 3-5 ล้านบาท ระหว่างพิจารณา ส่วน พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 3 เพิ่งถูกเพิกถอนการประกันตัวเมื่อวันที่ 25 ก.พ.63 เนื่องจากปรากฏเหตุว่า พ.ต.ท.บรรยิน กำลังถูกสอบสวนคดีมีคนร้ายลักพาตัวพี่ชายของผู้พิพากษาอาวุโสเจ้าของสำนวนคดีโอนหุ้นนายชูวงษ์ เพื่อบังคับกดดันผลคดีให้ยกฟ้อง กระทั่งพี่ชายผู้พิพากษานั้นเสียชีวิต จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
โดยวันนี้ น้องน้ำตาล อดีตพริตตี้ จำเลยที่ 1 , น้องป้อนข้าว อดีตโบรกเกอร์ และมารดา จำเลยที่ 2,4 ที่ได้ประกันตัวเดินทางมาศาลตามนัด ขณะที่พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 3 ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ คดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา วันนี้ศาลไม่ได้เบิกตัวโดยศาลได้อ่านคำพิพากษาให้ฟังผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ด้วยระบบปฏิบัติการออนไลน์แอพพลิเคชั่น Cisco Jabber (ซิสโก้ แจ๊บเบอร์) จากศาลไปยังเรือนจำ ฝ่ายครอบครัวของนายชูวงษ์ มีนางวันเพ็ญ ธนธรรมสิริ พี่สาวของนายชูวงษ์มาร่วมฟังคำพิพากษาด้วย
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่าย นำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า เอกสารใบคำขอ/ถอนโอนหลักทรัพย์ทั้งสองบริษัทที่โอนหุ้นไปให้ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของนายชูวงษ์มีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อความ ทั้งการโอนไม่ได้เป็นไปตามระเบียบของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและบริษัทหลักทรัพย์ทั้งสองตามที่เจ้าหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและเจ้าหน้าที่ของบริษัทอาร์เอชบี โอเฮสเค(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์เออีซี จำกัด (มหาชน) เบิกความ
ทั้งยังได้ความจากพยานบุคคล พยานเอกสาร และวัตถุพยานซึ่งเป็นบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิดว่า จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเป็นพิเศษมากกว่านายชูวงษ์ ไม่มีเหตุที่นายชูวงษ์จะโอนหุ้นจำนวนมากให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นมารดาของจำเลยที่ 2ซึ่งจำเลยที่ 2 ไม่สามารถรับโอนหลักทรัพย์ดังกล่าวเป็นของตนเองได้ เนื่องจากเป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัทหลักทรัพย์ ต้องให้จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นมารดาเป็นผู้รับโอนแทน โทรศัพท์ที่ใช้ในการยืนยันการโอนหุ้นอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 3 เสียงพูดโทรศัพท์ที่ยืนยันการโอนหุ้นไม่ใช่เป็นเสียงของนายชูวงษ์แต่พยานที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับนายชูวงษ์และจำเลยที่ 3 ยืนยันว่าเป็นเสียงจำเลยที่ 3ก่อนและหลังการโอนหุ้นจากการตรวจสอบการใช้โทรศัพท์และภาพจากกล้องวงจรปิดในสถานที่ต่างๆ พบว่าจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 2 ได้พบปะและพูดคุยบ่อย รวมทั้งระหว่างที่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ไปเบิกเงินจากที่ได้จากการขายหลักทรัพย์ที่รับโอนมา ทำให้เชื่อว่า ในการโอนหุ้นให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 มารดาจำเลยที่ 2 นั้น นายชูวงษ์ไม่มีส่วนรู้เห็น แต่จำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ร่วมกันปลอมใบคำขอถอน/โอนหลักทรัพย์และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของนายชูวงษ์แล้วโอนหุ้นของ บริษัทพลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) จำนวน 9,500,000 หุ้น มูลค่า 228,000,000 บาท รวมทั้งจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 2 โอนหุ้นของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL), บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) (CPN) หลักทรัพย์ของบริษัทปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP) รวมมูลค่า 25,050,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 4 มารดาของจำเลยที่ 2
ส่วนจำเลยที่ 4 ศาลเห็นว่าในขณะที่จำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ร่วมกันปลอมคำขอถอน/โอนหลักพรัพย์และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของนายชูวงษ์นั้น จำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 เป็นคนดำเนินการโดยจำเลยที่ 2 แจ้งกับจำเลยที่ 4 ว่า คนรักของจำเลยที่ 2 เป็นคนดำเนินการโอนหุ้นให้ พยานหลักฐานยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 มีส่วนร่วมในการปลอมใบคำขอถอน/โอนหลักทรัพย์และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชของนายชูวงษ์ดังกล่าวตามฟ้อง แต่เข้ามาเกี่ยวข้อง
หลังจากจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ดำเนินการโอนหุ้นเข้ามาในบัญชีหลักทรัพย์ที่เปิดไว้ในชื่อจำเลยที่ 4 หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ร่วมกันขายหุ้นที่รับโอนมาเข้าบัญชีของจำเลยที่ 4 แล้วจำเลยที่ 4 เป็นคนดำเนินการเบิกถอนเงินจำนวนดังกล่าว ซึ่งในชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาจำเลยที่ 4 ว่า ร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร แต่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง โดยโจทก์ที่ 2 ฟ้องจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ว่า ร่วมกันลักทรัพย์และรับของโจรเงินที่ได้จากการขายหุ้นดังกล่าวด้วย แต่ศาลไต่สวนแล้วเห็นว่าข้อหาดังกล่าวไม่มีมูลคดีถึงที่สุดไปแล้ว
พิพากษาให้จำคุกน.ส.กัญฐณาหรือน้ำตาล จำเลยที่ 1และ จำคุก น.ส.อุรชาหรือป้อนข้าว จำเลยที่ 2 คนละ 4 ปี จำคุก พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ กระทงละ 4 ปี รวม 2 กระทง รวมจำคุก 8 ปี ยกฟ้องในส่วนจำเลยที่ 4 โดยไม่รอลงอาญา
ภายหลังนางวันเพ็ญ พี่สาวของนายชูวงษ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ขอขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรมกับครอบครัว และขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเดิมที่ต้องสูญเสียพี่ชายจากเหตุตดีนี้ ตลอดระยะเวลา 4 ปี 9 เดือนที่เรารอคอย ซึ่งผลคำพิพากษาเป็นไปตามคาด โดยศาลจำคุกจำเลยที่1 -2 คนละ4ปี ส่วนพ.ต.ท.บรรยินจำคุก 8 ปี และยกฟ้องจำเลยที่4 ซึ่งเป็นเพียงคำพิพากษาศาลชั้นต้น ในคดีอาญาเท่านั้นซึ่งทางครอบครัวยังได้ยื่นฟ้องเรื่องมูลค่าหุ้นทางแพ่งอีก 2 คดี ซึ่งทางเราจะคัดคำพิพากษาคดีนี้เสนอศาลอาญาพระโขนงพิจารณาคดีฆาตกรรมคุณชูวงษ์ ที่ทางครอบครัวเราและอัยการร่วมกันยื่นฟ้องคุณบรรยินด้วย
ส่วนที่คดีโอนหุ้นใช้เวลานานในการเรียกร้องขอความเป็นธรรมนาน 4 ปี 9 เดือน นั้น คดีนี้ไม่ได้ล่าช้าที่ศาล แต่หากอธิบดีอัยการกรุงเทพใต้ คนก่อนพิจารณายื่นฟ้องคดี คดีก็น่าจะจบภายใน 2 ปี ซึ่งก็จะไม่เกิดเหตุน่าเสียใจขึ้น จึงฝากไปถึงอัยการสูงสุดช่วยพิจารณาตรวจสอบการทำงานของอธิบดีอัยการกรุงเทพใต้คนก่อนที่มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคุณบรรยิน และพิจารณาการทำงานด้วยความเป็นธรรมหรือไม่ด้วย
คดีนี้เป็นคดีตัวอย่างที่มีความสลับซับซ้อน เอกสารพยานหลักฐานจำนวนมาก ก็ต้องขอขอบคุณ กองปราบปราม กองพิสูจน์หลักฐาน ที่รวบรวมพยานหลักฐาน รวมทั้งพยานบุคคลต่าง ๆ และอัยการเจ้าของคดีที่ทำงานอย่างเต็มที่ด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี