ภายหลังจากที่ นายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกแถลงการณ์ ประกาศสู้วิกฤติไวรัส โควิด-19 ด้วยการปิดคำแถลงในประโยคที่ว่า “ประเทศไทยต้องชนะ”จากนั้น นโยบายต่างๆ ก็ถูกนำออกมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสู้กับไวรัสร้ายตัวนี้ ภายใต้ประเด็นหลัก 3 ประการคือ “ช่วยเหลือ ป้องกัน และทำลาย”
ช่วยเหลือ ป้องกัน และ ทำลาย ถือเป็นมาตรการหัวใจที่ภาครัฐจะทำให้กับคนทั้งประเทศซึ่งแน่นอนว่า ทั้ง 3 ประการดังกล่าว ภาครัฐจะต้องทำให้ทุกอย่างเกิดผลเต็มร้อย
คำว่า “เต็มร้อย” ที่ภาครัฐต้องจับเอาไว้ให้มั่น มีความหมายพุ่งเป้าไปถึง “ความมีประสิทธิภาพเต็มร้อย” ที่จะสร้างผลลัพธ์ให้ออกมาครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งควรจะเกิดจากความตั้งใจจริงของทุกคน ทุกฝ่ายภายใต้จิตสำนึกที่บริสุทธิ์ โดยไม่แอบแฝงเล่ห์เพทุบายอื่นใดลงไปให้เกิดความด่างพร้อย ซึ่งแน่นอนว่าการกระทำด้วยจิตอันบริสุทธิ์นี้ย่อมต้องเกิดจากความร่วมมือของคนทุกคน ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป
ในส่วนของ “การช่วยเหลือ”แม้ภาครัฐจะออกมาประกาศอย่างเป็นทางการ ที่จะช่วยเหลือคนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นการช่วยในเรื่องของการเงิน การแบ่งเบาภาระหนี้สินทอดระยะการใช้หนี้ให้ห่างออกไปและอื่นๆ นั่น ก็ไม่ได้หมายถึงว่าผู้ที่มีสิทธิ์ในการได้รับความช่วยเหลือมิใช่จะเป็นเพียง “ผู้รับ” เพียงอย่างเดียวแต่ภายใต้จิตสำนึกอันบริสุทธิ์อาจจะมีคนอีกมากมายที่ สามารถ “ช่วยเหลือซ้อนความช่วยเหลือ”จากภาครัฐอีกทีได้ โดยการสละสิทธิ์ความช่วยเหลือเพื่อให้ รัฐได้นำเอาปัจจัยในการช่วยเหลือนั้นไปสร้างประโยชน์อย่างอื่น โดยเฉพาะการช่วยเหลือที่เป็น “เม็ดเงิน” ในยามนี้ เงินทุนเป็นความจำเป็น และสำคัญอย่างยิ่งในการนำไปสร้างกิจกรรม ดังนั้น ด้วยจิตสำนึกอันบริสุทธิ์ ที่จะ ช่วยกันเอาชนะวิกฤติร้ายนี้ ทุกคนจึงต้องร่วมมือกันอย่างจริงใจ อย่าคิดแต่เพียงเป็นผู้รับอย่างเดียว
ในส่วนของ “การป้องกัน” ได้เกิดมาตรการต่างๆ มากมาย เพื่อ ใช้เป็นเสมือนเกราะป้องกันเหตุร้ายไม่ให้ย่างเข้ามาถึงตัวบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการห้ามออกนอกบ้าน การปิดสถานที่ชุมชน การปิดสถานบริการ และอื่นๆ แม้จะเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง แต่ในยามนี้ ทุกคนควรจะต้องเสียสละ ส่วนตนเพื่อคนส่วนใหญ่ ดังนั้น การร่วมมือกันป้องกัน ทุกคนจึงต้องทำด้วยความเต็มใจ เพื่อให้เกิดผลเต็มร้อย
ในส่วนของการ “ทำลาย”ดูเหมือนว่า ภาครัฐจะยังไม่มีผลงานที่เห็นเด่นชัด เท่ากับสองมาตรการดังกล่าว เท่าที่ออกมาแล้วในตอนนี้ อย่างเช่น การล้างสถานที่ทำความสะอาด เพื่อฆ่าเชื้อไวรัส มีบางเขต
บางพื้นที่ ออกมาทำกิจกรรมนี้กันบ้างแล้ว แต่ยังดูเหมือนไม่ค่อยจะเต็มร้อย เท่ากับสองมาตรการดังกล่าว ดังนั้น ในส่วนนี้ ภาครัฐเห็นทีจะต้องโหมกระพือให้เกิดกิจกรรมมากกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้เพราะจะเป็นการตัดเส้นทางการระบาดได้ดีที่สุดอีกทางหนึ่ง
ในสายเลือดไทยทุกคน มีความเชื่อกันว่า แม้ในยามสงบ คนไทยจะ(ดูเหมือน)ไม่ค่อยรักกัน แต่ในยามศึกสงคราม ยามเดือดร้อน เป็นเรื่องพิสูจน์กันมาหลายร้อยปีแล้วว่า “ไทยจะไม่ทิ้งกัน” วันนี้โอกาสของ “ไทยไม่ทิ้งกัน” กำลังเกิดขึ้นมาอีกครั้งในปี 2563 ผมจึงมีความเชื่อมั่น เช่นเดียวกับท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า “ไทยต้องชนะ”เช่นเดียวกันครับ
โดย...ชนิตร ภู่กาญจน์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี