"เสมา1"ประสานกสทช.ขอช่องทีวีสอนเด็กเล็ก และเตรียนสอนผ่านออนไลน์เด็กมัธยม พร้อมควบรวมโรงเรียนที่มีครู2-3คนให้ร่วมกันพัฒนาการสอนออนไลน์ พร้อมเยียวยาครูโรงเรียนเอกชนช่วงวิกฤตโควิด-19
เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2563 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยถึงการจัดการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์ ของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในสภาวะวิกฤตจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิส-19 ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ตนได้ประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อขอช่องทีวีดิจิทัล มาใช้กับการจัดการเรียนการสอนให้กับนักเรียน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก ตั้งแต่ระดับปฐมวัย - ระดับประถมศึกษา จะเรียนผ่านทีวี เพราะเด็กไม่มีอุปกรณ์ ไม่มีความสามารถที่จะเรียนรู้เทคนิคด้านเทคโนโลยีได้ ซึ่งจากที่หารือกับ กสทช.แล้วจะใช้อย่างน้อย 7 ช่อง หรืออาจจะขยายช่องเพิ่มเพื่อให้เพียงพอ
ส่วนระดับมัธยมศึกษา จะต้องมีอุปกรณ์ในการสอน โดย ศธ.จะโยกงบฯลงทุนภายใน ศธ.เอง เช่น งบซ่อมแซมอาคารเรียนที่อาจจะยังไม่จำเป็น เนื่องจากช่วงนี้โรงเรียนยังไม่ได้เปิดใช้ ก็ให้นำงบมาลงทุนจัดซื้ออุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการจัดการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์ให้กับเด็กก่อน รวมถึงอุปกรณ์ให้ครูผู้สอน เพราะ ศธ.ต้องการสร้างความเท่าเทียมทางการศึกษาให้กับเด็กทั่วประเทศ โดยเฉพาะเด็กโตในระดับ ม.1 - ม.6 เมื่อเด็กได้รับข้อมูลพื้นฐานเท่ากันหมดในแต่ละห้องเรียน หากมีเด็กคนใดตามไม่ทัน ครูก็จะทราบได้ และหาทางช่วยสอนออนไลน์เพิ่มเติมให้ จึงเป็นช่วงเวลาที่เราจะสามารถทราบทักษะความสามารถของเด็กแต่ละตนในความรู้ขั้นพื้ฐาน และสามารถสร้างความเข้มข้นและยกระดับการศึกษาได้ด้วย ซึ่งถือเป็นประโยชน์จากการเรียนการสอนด้วยระบบออนไลน์
"สิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่นอน สำหรับการเตรียมความพร้อมของการจัดการศึกษาผ่านระบบออนไลน์ คือจะต้องมีการควบรวมโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนต่างๆ ที่มีคุณครูเพียง 2 - 3 คน อาจจะต้องมารวมกันเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการพัฒนาขบวนการสอนทางออนไลน์ ซึ่งก็ไม่ได้ยากหากครูมีความตั้งใจจริง ในระยะเวลา 2 เดือนนี้ ครูสามารถพัฒนาตนเองได้โดยผ่านการสนับสนุนจากศธ.เพื่อให้ครูเข้าสู่สมรรถนะในการเตรียมการสอนผ่านระบบออนไลน์ได้อย่างมีประสิธิภาพ" รมว.ศธ.กล่าว
รมว.ศธ.กล่าวอีกว่า ในวิกฤตนี้ ก็เป็นโอกาส ที่จะได้ดูมาตรฐานของเด็กและการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในการเรียนการสอนวิชาวิทยศาสตร์ แทนเรียนในห้องทดลอง ซึ่ง ศธ.จะต้องสร้างคอนเทนต์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์นี้ แต่ต้องยอมรับว่า การใช้ดิจิทัล หรือเทคโนโลยีมาสอน ก็ไม่สามารถทดแทนการสอนของคุณครูได้ตนยังยืนยันเสมอว่าคุณครูเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การสอนมีประสิทธิภาพ แต่ในช่วงที่วิกฤตตรงนี้ ไม่สามารถให้คุณครูเจอเด็กได้ จึงต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ก็หวังว่าไม่ได้พึ่งตรงนี้ในระยะยาว แต่ด้วยความจำเป็น ศธ.จึงได้เริ่มปรับใช้ ส่วนอุปกรณ์ที่รัฐลงทุนสนับสนุนไปแล้วนี้ หากจบปัญหาไวรัสโควิส-19 แล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่คุ้มค่า เพราะในแผนงานที่ ศธ.วางไว้ ในการสนับสนุนอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ ได้อยู่ในแผนงบประมาณปีการศึกษา 2565 แล้ว
นอกจากนี้ นายณัฏฐพล กล่าวถึงกรณีที่โรงเรียนเอกชน จะลดเงินเดือนครูลงครึ่งหนึ่ง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิส-19 ว่า ในส่วนของกณะทรวงศึกษาธิการ ก็จะดูข้อมูลหรือดาต้าทั้งหมดของโรงเรียนเอกชน เพราะที่ผ่านมาในดาต้าของทางโรงเรียนเอกชนอาจจะไม่ได้แชร์ข้อมูลให้กับกระทรวงศึกษาฯ แต่มีการแชร์ข้อมูลไปให้กับกระทรวงแรงงาน เพราะการที่โรงเรียนเอกชนใดจ้างครูจะเกี่ยวข้องกับเรื่องภาษี ดังนั้น การที่กระทรวงศึกษาฯ จะสามารถช่วยเหลือได้ ทางโรงเรียรเอกชนจะต้องนำรายชื่อครูในกลุ่มได้รับผลกระทบ ซึ่งถ้าเป็นข้อมูลที่ถูกต้องก็จะได้รับการเยียวยาที่เท่าเทียมกับกลุ่มอื่นๆ จึงขอให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบรวมกลุมกันเพื่อรับการเยียวยา
"ในภาวะวิกฤตนี้โรงเรียนเอกชนได้รับผลกระทบแน่นอน เมื่อผู้ปกครองไม่มีรายได้ที่จะมาจ่ายให้กับทางโรงเรียน ในขณะที่โรงเรียรก็ยังมีภาระค่าใช้จ่ายอยู่ดังนั้น จึงอยากให้โรงเรียนเอกชนพยายามรักษาเจ้าหน้าที่เอาไว้ ส่วนเรื่องภาษีต่างๆ ของโรงเรียนเอกชน ทางรัฐบาลพยายามหาทางช่วยเหลืออยู่ ซึ่งผมก็จะเสนอขอยกเว้นภาษีป้าย เพื่อช่วยให้โรงเรียนเอกชนมีสภาพคร่องและมีโอกาสหายใจมากขึ้น" รมว.ศธ.ระบุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี