แม้ประเทศไทยจะมีสัดส่วนรายได้หลักจากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ-ท่องเที่ยว แต่คนไทยราว 10 ล้านคน จากกำลังแรงงานประมาณ 38 ล้านคน ยังอยู่ในภาคเกษตร ซึ่งภาคเกษตรนั้นต้องพึ่งพาธรรมชาติอย่างมาก เห็นได้จากในปี 2563 นี้ เกิดภัยแล้งและคาดว่าจะยาวไปถึงช่วงกลางปี เมื่อแหล่งเก็บน้ำต่างๆ ต้องสำรองน้ำไว้ใช้ในการอุปโภค-บริโภค ภาคเกษตรจึงต้องได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงกระนั้นก็ยังมีความพยายามของคนในภาคเกษตรอยู่ไม่น้อยที่ต้องการลดผลกระทบจากภัยธรรมชาติข้างต้น
ประสิทธิ์ โอสถานนท์ ที่ปรึกษาสถาบันส่งเสริมการพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานพระราชดำริ กล่าวถึงโครงการ “ปลูกผักโรงเรือนแก้ปัญหา
ภัยแล้ง” ว่า สถาบันได้ร่วมทำโครงการกับ จ.อุดรธานี โดยคัดเลือกเกษตรกรที่สมัครใจและมีประสบการณ์ปลูกผักและมีต้นทุนน้ำที่เพียงพอ เบื้องต้นมีเกษตรกรต้นแบบ 19 ราย โดยบริหารกลุ่มในรูปแบบกองทุน ซึ่งต้องคืนเงินสมทบเข้ากองทุนหลังจากมีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิต
“โครงการเรียกได้ว่าเป็นการทำเกษตรที่แม่นยำ ซึ่งสามารถวางแผนและกำหนดระยะเวลาการปลูกได้อย่างถูกต้อง โดยเกษตรกรเลือกพืชที่มีประสบการณ์ในการปลูก คือ ต้นหอม ผักชี เนื่องจากเป็นที่ต้องการของตลาดช่วงหน้าแล้ง ขายได้ราคาดี และใช้เวลาปลูกเพียง 45 วัน ก็เก็บเกี่ยวได้ในส่วนของโรงเรือนปลูกผักมีขนาด กว้าง 6 เมตร ยาว 24 เมตรมีโต๊ะปลูกผักจำนวน 16 โต๊ะ ปลูกได้ 5,000 ต้น ใน 1 ปีสามารถปลูกได้ถึง 8 ครั้ง” ประสิทธิ์ กล่าว
ที่ปรึกษาสถาบันส่งเสริมการพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระฯ เล่าต่อไปว่า น้ำที่ใช้ในการรดผักเป็น “ระบบน้ำหยด” ใช้น้ำทั้งจากแหล่งน้ำธรรมชาติและบ่อบาดาลที่เกษตรกรมีอยู่ สูบโดยเครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ขึ้นถังพักและกระจายน้ำสู่โต๊ะปลูกผักซึ่งระบบน้ำหยดจะใช้น้ำน้อยกว่าระบบสปริงเกอร์ฉีดน้ำถึง 18 เท่า และยังใช้น้ำน้อยกว่าการปลูกข้าวถึง 112 ลบ.ม/ไร่ แม้ค่าลงทุนโรงเรือนปลูกผักครั้งแรกจะมีราคาสูงถึง 1.4 แสนบาท แต่จะประหยัดในเรื่องการใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง
เนื่องจากโรงเรือนปลูกผักสามารถควบคุมดินปลูก ป้องกันแมลง และใช้วัสดุที่หาง่าย สามารถทำเองได้ เกษตรกรสามารถซ่อมแซมได้หากเกิดการชำรุด ด้านรายได้การปลูกผักในโรงเรือนจะมีรายได้มากถึง 1.9 แสนบาท/ไร่/ปี
ขณะที่ปลูกข้าวรายได้ 4,356 บาท/ไร่/ปี ข้าวโพด 3,321 บาท/ไร่/ปี รวม 7,686 บาท เมื่อเทียบกันแล้วการปลูกผักในโรงเรือนใช้น้ำน้อยกว่าและได้กำไรมากกว่าข้าวและข้าวโพดประมาณ 25 เท่า และเป็น 31 เท่าของมันสำปะหลังที่มีรายได้ 27,000 บาท/ไร่/ปี สำหรับการลงทุนต่อ 1 โรงเรือน ซึ่งเกษตรกรจะคืนทุนภายใน 3 ปี
ขณะที่หนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการ จุลัยพร แทนจำรัส เกษตรกรในพื้นที่บ้านโคกล่าม-แสงอร่าม ต.กุดหมากไฟ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี เล่าว่า เคยไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้เป็นเวลา 3 ปี กระทั่งเมื่อกลับมาบ้านเกิดแล้วได้ยินเรื่องของโครงการนี้ ตนเองมีที่ดิน 14 ไร่จึงตัดสินใจเข้าร่วม โดยลองแบ่งที่ดิน 1 ไร่ มาสร้างโรงเรือน ก่อนปลูกผักลงแปลงในวันที่ 15 ก.พ. 2563 ที่ผ่านมา การปลูกผักในโรงเรือนด้วยการใช้เทคนิคเกษตรแม่นยำนี้ ตอบโจทย์ทั้งภัยแล้งและช่วยให้การทำเกษตรง่ายขึ้น เพียงแค่วางแผนและเปลี่ยนมาปลูกผักแบบประณีตและใส่ใจมากขึ้นเท่านั้น
“ถึงแม้จะมีความยากบ้าง เนื่องจากเป็นนวัตกรรมใหม่ในการปลูกผัก โดยปกติชาวบ้านจะปลูกผันตามดินบนพื้นทั่วไป ซึ่งในโรงเรือนจะปลูกผักชีและต้นหอม แม้จะลงทุนสูงและเป็นหนี้สิน แต่ในอนาคตจะได้กำไรเป็นจำนวนมากและปลดหนี้ในที่สุด และภายในวันที่ 26 มี.ค. 2563 จะได้เริ่มเก็บและจำหน่ายให้กับกลุ่มตลาดต่างๆ ต่อไป”จุลัยพร กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี