ดำเนินคดี1,186คน
ฝ่าฝืนเคอร์ฟิวในช่วง3คืน
จับรร.สมุยจัดปาร์ตี้ชื่นมื่น
ตร.เผยเคอร์ฟิว 3 คืน ดำเนินคดีแล้ว 1,186 ราย ฝ่าฝืนออกจากบ้าน-รวมกลุ่มมั่วสุมเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ ด้านวัยรุ่นเชียงใหม่เมินเคอร์ฟิว เจอรวบอีก 58 ราย อ้างไม่อยากเข้าบ้าน ตำรวจสุราษฎร์ธานีบุกจับโรงแรมลอบจัดปาร์ตี้ดื่มกินเย้ยกฎหมาย มีชาวต่างชาติร่วมวงหลายคน จึงสั่งปิดและส่งตัวดำเนินคดีฐานฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่วนที่นครพนมจับต่างด้าว 26 คน ลักลอบข้ามแดน
ศาลสั่งจำคุก15วัน ก่อนเนรเทศกลับบ้านเกิด เชียงรายจับ4วัยรุ่นฝ่าฝืนเคอร์ฟิว-มีกัญชาในครอบครอง
เมื่อวันที่ 6 เมษายน พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ภาพรวมสถานการณ์คืนที่ผ่านมาซึ่งเป็นคืนที่สามหลังประกาศเคอร์ฟิวข้อกำหนดเพิ่มเติมห้ามออกนอกเคหสถานในระหว่างเวลา 22.00-04.00น.ของวันรุ่งขึ้น ได้สนธิกำลังตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ชุดเคลื่อนที่เร็ว ทั่วประเทศ รวม 923จุด ใช้กำลังพล17,755คน มีการตรวจประชาชน 22,675คน ตรวจยานพาหนะ 16,841คัน ส่วนใหญ่ยังเจตนาออกนอกเคหสถานโดยไม่มีเหตุอันควร เช่น อ้างว่าจะไปทำธุระแต่พอถูกสอบถามโดยละเอียดไม่สามารถตอบคำถามได้,ผู้มาตั้งวงดื่มสุราในที่สาธารณะ,ลักลอบเล่นการพนัน,รวมกลุ่มขี่รถจักรยานยนต์และเสพยาเสพติด โดยยอดผู้ถูกดำเนินคดีถึงปัจจุบันมีทั้งสิ้น 1,186ราย
เชียใหม่จับ58โจ๋ไม่อยากอยู่บ้าน
ด้าน พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยผลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ หลังจากเข้าสู่คืนที่3 ตามประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสานการณ์ฉุกเฉิน(พรก.ฉุกเฉิน หรือเคอร์ฟิว) ที่ห้ามประชาชนออกนอกเคหะสถานเวลา 22.00-04.00น.ซึ่งจากการสนธิกำลังของตำรวจ ทหารและฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงใหม่ บูรณาการตั้งด่านตรวจครอบคลุมพื้นที่ 25 อำเภอ รวม 47จุด เพื่อตรวจตราบุคคลที่ฝ่าฝืน หรือไม่ปฎิบัติตามข้อบังคับและไม่ได้เป็นบุคคลยกเว้นตามที่ได้มีการกำหนดไว้ สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 58คน ทั้งหมดถูกดำเนินคดีข้อหาออกนอกเคหสถานโดยไม่ได้รับการยกเว้นหรือมีเหตุจำเป็นอื่นๆโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่
พล.ต.ต.พิเชษฐ กล่าวว่า จากการสอบสวนผู้ฝ่าฝืนประกาศเคอร์ฟิว ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นอ้างว่า ออกมาขับขี่รถเล่น หรือดื่มสุรา บางส่วนยังไม่อยากเข้าบ้าน จึงขอความร่วมมือประชาชนให้ปฏิบัติประกาศเคอร์ฟิวอย่างเคร่งครัด เพื่อร่วมกันระงับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพราะหากฝ่าฝืนและถูกจับกุมจะถูกดำเนินคดีและส่งฟ้องศาลทันที โดยไม่มีข้อยกเว้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังประกาศเคอร์ฟิวมีผลบังคับใช้ในวันแรก จ.เชียงใหม่ จับกุมผู้ฝ่าฝืนได้ 19ราย วันที่สอง 52รายและวันที่สาม 58ราย
สมุยทลายโรงแรมจัดปาร์ตี้รื่นเริง
ด้าน พ.ต.อ.ยุทธนา ศิริสมบัติ ผกก.สภ.บ่อผุด อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมด้วย พ.ต.ท.มาโนช จันทร์เที่ยง รอง ผกก.ป.,พ.ต.ต.ชัชชีวิน นาคมูสิก สวป.ร่วมกับ ร.อ.อดุลย์ พรหมบุตร หน.ชป.กอ.รมน.ภาค4พื้นที่เกาะสมุย นายศุภเกียรติ เพชรเศรษฐ์ ปลัดฝ่ายความมั่นคงอำเภอเกาะสมุย นำกำลังเข้าตรวจสอบสถานบริการฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อ จ.สุราษฎร์ธานี เรื่องมาตรการเร่งด่วนในการป้องกันการแพร่ระบาดโรคไวรัสโควิด-19 จากการตรวจสอบพบร้านอาหารโบเดกะ ตั้งอยู่ชั้นล่างของโรงแรมเที่ยวสมุย ม.2 ต.บ่อผุด ยังคงเปิดไฟหน้าร้านให้บริการอยู่และได้ยินเสียงเพลงเปิดดัง จึงเข้าไปตรวจสอบภายในร้านพบว่า ร้านเปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยว มีการขายอาหาร เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายสัญชาตินั่งดื่มกินกันแบบใกล้ชิด ยังพบนักท่องเที่ยวหลายคนไม่สวมใส่หน้ากากป้องกันไวรัส
เจ้าหน้าที่สอบถามผู้ดูแลหรือผู้จัดการร้าน มีผู้มาแสดงตน 3คน คือ น.ส.ฉัตรดา ยิ้มแฉ่ง อายุ 21 ปี นายเทต โรเบิร์ต แรมมิงเงอร์ วิชเชอร์ อายุ 25ปี สัญชาติแอฟริกาใต้และน.ส.ฮอลโวเวย์ อายุ 36ปี สัญชาติอังกฤษ จึงแจ้งให้ทราบว่า การเปิดให้บริการลักษณะนี้เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดและยังผิดกฎหมายฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการโรคฯตาม พรบ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 เจ้าหน้าที่จึงแจ้งความดำเนินคดีกับ น.ส.ฉัตรดา นายเทตและน.ส.ฮอลโวเวย์ ฐานฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อฯก่อนคุมตัวส่งดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวน สภ.บ่อผุด ส่วนนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการได้ทำประวัติไว้ก่อนอนุญาตให้กับที่พัก
นครพนมจับต่างด้าวลอบข้ามแดน
สำหรับกรณี นายสยาม ศิริมงคล ผวจ.นคพรนม สั่งเพิ่มความเข้มข้นยกระดับควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด ก่อนหน้านี้มีคำสั่งให้ปิดธุรกิจกลุ่มเสี่ยงทุกประเภท รวมถึงการปิดด่านจุดผ่อนปรนตามอำเภอชายแดนริมแม่น้ำโขงรวม 4อำเภอ ล่าสุด เมื่อวันที่ 6เมษายน เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรนครพนม โดย พ.ต.อ.พลาเดช เพ็ชรหว้าโง๊ะ รอง ผบก.ภ.จ.นครพนม แจ้งผลการจับกุมผู้กระทำความผิดฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉิน (เคอร์ฟิว) รวมทั้งสิ้น 26ราย ซึ่งเป็นแรงงานต่างด้าว ทุกรายจะถูกส่งศาลจังหวัดพิจารณาคดี ตามมาตรา18 พรก.ฉุกเฉินระบุว่า ผู้ใดฝ่าฝืนข้อกำหนด ประกาศ หรือคำสั่งที่มาตรา9 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน2ปี หรือปรับไม่เกิน4หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้ ศาลจังหวัดนครพนมได้พิจารณาตัดสินคดีแรกหลังคำสั่งเคอร์ฟิวประกาศใช้ โดยตัดสินจำคุก 1เดือน แต่ผู้ต้องหารับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 15วัน ผู้ต้องหาไม่เคยต้องโทษคดีอาญามาก่อน เปลี่ยนโทษจำคุก 15วัน เป็นกักขัง 15วัน ก่อนควบคุมตัวนำส่งไปกักขังที่เรือนจำกลางนครพนม หลังพ้นโทษจะผลักดันส่งกลับประเทศบ้านเกิดต่อไป
เชียงรายรวบ4โจ๋ฝืนพรก.-ซุกกัญชา
วันเดียวกัน พนักงานสอบสวน สภ.แม่จัน จ.เชียงราย ควบคุมตัววัยรุ่นชาย 4คน อายุ 14ปี จำนวน 1 คน อายุ 15ปี จำนวน 2คนและอายุ 17ปี อีก1คน ดำเนินคดีข้อหาออกนอกเคหะสถานระหว่างเวลา 22.00-04.00 น.โดยไม่ได้รับการยกเว้น หรือมีเหตุจำเป็นอื่นๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ และข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท4(กัญชา) น้ำหนักประมาณ 210กรัม โดยจับกุมได้เมื่อกลางดึกวันที่ 5เมษายนที่ผ่านมา ขณะ ร.ต.อ.สวัสดิ์ อ่อนนวล รอง สวป.สภ.แม่จัน นำเจ้าหน้าที่ตั้งจุดตรวจสกัดบนถนนพหลโยธิน หมู่7 ต.แม่จัน อ.แม่จัน ในช่วงประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน
ต่อมา พบวัยรุ่นซ้อน4 ขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า สีดำแดง หมายเลขทะเบียน1กญ-5171นครราชสีมา ไปตามท้องถนนในช่วงเวลาใกล้เที่ยงคืน ซึ่งถือเป็นช่วงเคอร์ฟิวจึงเรียกหยุดตรวจปรากฏว่า รถคันดังกล่าวได้ขับหลบหนีไปทางถนนนาคพันธุ์ หมู่ 2 ต.แม่จัน หน้าโรงเรียนบ้านแม่จัน(เชียงแสนประชานุเคราะห์) จึงตามไปทันและเข้าควบคุมรถไว้พบวัยรุ่นจำนวน 4 คน ที่นั่งซ้อนกันมา เมื่อตรวจค้นในรถพบกัญชาสดบรรจุในถุงพลาสติก 1ถุง ซุกซ่อนอยู่ที่ใต้เบาะรถจึงจับกุมตัวทั้งหมดเอาไว้ดำเนินคดี เนื่องจากทั้งหมดเป็นเยาวชน เจ้าหน้าที่จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัว จ.เชียงราย เพื่อพิจารณาคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
พณ.จับโก่งขายหน้ากากอีก5ราย
ด้าน นางลลิดา จิวะนันทประวัติ รองโฆษกกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เปิดเผยผลปฏิบัติการกรณีสินค้าอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์ของ พณ.ว่า วันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา พณ.ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าจับกุมผู้กระทำความผิดพรบ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดกรณีหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์ได้เพิ่มอีก 5 ราย แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 2 ราย โดยเป็นการจับกุมผู้จำหน่ายสินค้าทางแอปพลิเคชั่นไลน์ 1ราย ในเขตสายไหม จำหน่ายหน้ากากอนามัย กล่องละ50ชิ้น ราคากล่องละ 750บาท (เฉลี่ยชิ้นละ15บาท)แจ้งข้อหาขายแพงเกินราคาสมควรและอีก 1ราย เป็นสถานที่ผลิตเจลแอลกอฮอล์ในเขตแจ้งวัฒนะ ข้อหากระทำความผิดตาม มาตรา25(5) ไม่แจ้งราคาต้นทุนการผลิต
ส่วนต่างจังหวัดจับกุมได้เพิ่ม 3 ราย โดยจำหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินราคาสมควร (มาตรา 29) จำนวน 2ราย จังหวัดนครราชสีมา 1ราย โดยทำการล่อซื้อจับกุมผู้จำหน่ายหน้ากากอนามัยผ่านทางเฟซบุ๊ก จำหน่ายในราคากล่องละ730บาท (เฉลี่ยชิ้นละ14.60บาท) รวม 5,000 ชิ้น และ ที่ จ.ปราจีนบุรี 1 ราย นอกจากนี้ยังเข้าตรวจค้นหน้ากากอนามัยและจับกุมชาวจีนที่ จ.ชลบุรี อีก 1ราย ข้อหาไม่แจ้งปริมาณและปฏิเสธการจำหน่ายสินค้าควบคุม มาตรา25(5)และมาตรา30 ทำให้สถิติจับกุมผู้กระทำความผิดกรณีหน้ากาก เจลแอลกอฮอล์และแอลกอฮอล์ เพิ่มขึ้นเป็น 265ราย แยกเป็นกรุงเทพฯ 131รายและต่างจังหวัด 134ราย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี