ผบ.ตร.สั่งตรวจเข้มข้น
ฝ่าฝืนเคอร์ฟิว
ลองของอีก691ราย
จับดำเนินคดีทั้งหมด
นนทบุรีคว้าแชมป์ที่1
มั่วสุม-ดื่มเหล้า-พนัน
ศบค.เผยยังมียอดฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน 691 ราย นนทบุรี พุ่งขึ้นอันดับ 1 ตาม “กทม.-ปทุมธานี-สมุทรปราการ” ขอให้ทุกคนช่วยชาติด้วยการอยู่บ้าน อย่าฝ่าฝืนด่านเคอร์ฟิว ด้านผบ.ตร.ยกทีมสุ่มเยี่ยมจุดตรวจ ควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ 3 จังหวัด ผบ.ตร.เผย นายกฯ ฝากให้กำลังใจและห่วงใย จนท.ทุกคน ย้ำให้เพิ่มความเข้มบังคับใช้กฎหมาย
เมื่อวันที่ 18 เมษายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(ควิด-19)หรือศบค.แถลงผลการปฏิบัติงานของฝ่ายมั่นคง ช่วงเคอร์ฟิว เพื่อป้องกันกาแพร่ระบาดโควิด-19 คืนวันที่ 17 เม.ย.ต่อเนื่องเช้าวันที่ 18 เม.ย.ว่า ยังมีผู้ออกนอกเคหสถาน จำนวน 691 ราย ลดลงจาก เมื่อวันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่าน จำนวน 129 ราย ชุมนุมมั่วสุม เสี่ยงต่อการติดเชื้อ จำนวน 113 ราย เพิ่มขึ้นจากเมื่อวันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านมา จำนวน 4 ราย
นนทบุรีขึ้นแชมป์ฝ่าเคอร์ฟิว
มีการตักเตือน 169 คน และ ดำเนินคดี 527 คน และ มั่วสุมยาเสพติด ดำเนินคดี 113 คน ซึ่งสาเหตุของการมั่วสุม ที่มีจำนวนมากอยู่ ยังคงเป็นการดื่มสุรา เล่นพนัน และยาเสพติด จึงขอให้ทุกคนช่วยชาติด้วยการอยู่บ้าน อย่าฝ่าฝืนด่านเคอร์ฟิว
โดยจังหวัดที่มี ผู้ฝ่าฝืนมากที่สุด 10 อันดับแรก โดย อันดับ 1 คือ นนทบุรี กรุงเทพฯ ปทุมธานี สมุทรปราการ สงขลา สมุทรสาคร ภูเก็ต กระบี่ พระนครศรีอยุธยา และลพบุรี ส่วน 10 จังหวัดที่ไม่มีผู้กระทำผิด คือ ยโสธร หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี แม่ฮ่องสอน อ่างทอง ฉะเชิงเทรา ตราด สุโขทัย และสมุทรสงคราม
เชียงใหม่รวบจับ14โจ๋แต่งรถ
พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่(ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่)กล่างถึงผลการปฏิบัติงานของฝ่ายมั่นคงช่วงเคอร์ฟิว เพื่อป้องกันกาแพร่ระบาดโควิด-19 คืนวันที่ 17 เม.ย.ว่าพ.ต.อ.มาโนช สุดสวาสดิ์ ผกก.สภ.แม่ริม ได้รับแจ้งมีกลุ่มเด็กวัยรุ่นมั่วสุมกันเป็นจำนวนมาก จึงได้นำกำลังเข้าตรวจสอบ และได้ควบคุมตัว เด็กชาย-หญิง วัยรุ่น อายุตั้งแต่ 22 ปี ถึงอายุ 16-15-14-13 12 ปี จำนวน 14 ราย บริเวณภายในร้านอู่ซ่อมและแต่งรถจักรยานยนต์แห่งหนึ่ง ต.ขี้เหล็ก อ.แม่ริม จว.เชียงใหม่
ในข้อหาร่วมกันชุมนุมทำกิจกรรมหรือการมั่วสุม ณ ที่ใดๆในสถานที่แออัดในลักษณะที่เป็นการเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคติดต่ออันตรายอันเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ควบคุมตัวทำประวัติแล้วส่งศาลเด็ก ดำเนินคดีต่อไป
ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่กล่าวว่า กรณีนี้ การจับกุมเด็กมั่วสุม ได้แจ้งไปยังผู้ปกครอง และ ได้นำไปทำประวัติ ส่งศาลเด็ก จากสถิติคืนที่ผ่านมาจับกุมทั่งพื้นที่เชียงใหม่ได้ 28 ราย แบ่งเป็นออกนอนเคหะสถาน 12 ราย มั่วสุม 16 ราย สะสม 3-18 เมษายน 2563 ทั้งหมด 462 รายจับกุมนอกเวลาเคอร์ฟิว อีก 7 ราย ทั้งหมดส่งศาลดำเนินคดีทั้งหมด
บึงกาฬจับ6คนมั่วสุมงฝ่าเคอร์ฟิว
นายธนาวุฒิ ทองทวี นายอำเภอปากคาด อ.ปากคาด จ.บึงกาฬ เผยว่าเมื่อคืนวันที่ 17 เม.ย.รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามีการมั่วสุมของกลุ่มวัยรุ่น ในลักษณะฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่บริเวณเถียงนา ในสวนยางพารา บ้านโนนเสถียร ต.โนนศิลา อ.ปากคาด จึงให้นายฐานวีร์ อังศุชวาลกิจ ปลัดอำเภอ ฝ่ายความมั่นคง พร้อม นายพศิน พาสว่าง กำนันตำบลโนนศิลา นายพงษ์ศักดิ์ พลภักดี กำนันตำบลปากคาด และอาสาสมัคร ชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็วเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ออกตรวจตราระงับยับยั้งการฝ่าฝืนพ.ร.ก.ที่เถียงนาในสวนยางพาราดังกล่าว
นายฐานวีร์ ปลัดอำเภอหัวหน้าชุดเคลื่อนที่เร็ว กล่าวว่าพบกลุ่มวัยรุ่น 6 คนกำลังมั่วสุมดื่มสุรา เปิดเพลงเสียงดังลั่นป่าสวนยาง จึงเข้าควบคุมตัว ทราบชื่อ นายพร้อมพงศ์ พาสว่าง อายุ 22 ปี นายจักรกฤษ งามสง่า อายุ 28 ปี นายตรีวิชญ์ โจรสา อายุ 20 ปี พร้อมเยาวชนหญิงอีก 3 คน ซึ่งทั้ง 6 คน นั่งล้อมวงลักษณะนั่งชิดติดกัน ไม่สวมใส่หน้ากากอนามัย การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่ถูกสุขลักษณะตามมาตรการป้องกันโรคติดต่อ หากมีบุคคลใดในกลุ่มมีเชื้อไวรัสโควิด-19อีก5คนที่เหลือภายในกลุ่ม เป็นกลุ่มเสี่ยงจะได้รับเชื้อแน่นอน การกระทำทั้ง6คนจึงเป็นการมั่วสุมอันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดประกาศ หรือคำสั่งตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯจึงแจ้งข้อหานายพร้อมพงศ์ พาสว่าง 2 กระทง คือ ฝ่าฝืนคำสั่งแยกกักตัว หรือ กักกันของพนักงานควบคุมโรคติดต่อ อีกกระทง คือ ชุมนุมมั่วสุมกันอันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง ข้อ 15 ม.18 และพ.ร.บ.โรคติดต่อ ม.34 (6) ส่วนอีก 5 คนถูก แจ้งข้อหาเดียว คือ มั่วสุมกันอันเป็นฝ่าฝืนคำสั่งส่งตัวทั้งหมดให้พนักงานสอบสวน สภ.ปากคาด ดำเนินคดี
ผบ.ตร.นำทีมสุ่มเยี่ยมจุดตรวจ3จว.
วันเดียวกัน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร., พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ นพ.(สบ 8) รพ.ตร. และคณะ ออกสุ่มตรวจการปฎิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยร่วมปฏิบัติประจำจุดตรวจควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด -19 บริเวณถนนรังสิต-นครนายก ต.คลองใหญ่ อ.องครักษ์ จ.นครนายก, บริเวณหน้า อบต.คลองนครเนื่องเขต อ.เมืองฉะเชิงเทรา จ.ฉะเชิงเทราและบริเวณถนนเทพรัตน์ อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี รวมจำนวน 3 จังหวัด ในเขตพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2
เผยนายกฯฝากให้กำลังใจ-ห่วงใย
โดยพล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหมฯได้ฝากให้กำลังใจพร้อมแสดงความเป็นห่วงเป็นใย เจ้าหน้าที่จากหน่วยร่วมปฏิบัติทุกนาย ที่เสียสละเวลา ทุ่มเททำงานเพื่อส่วนรวม ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีและผบ.ตร.ได้มอบสิ่งของบำรุงขวัญให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเพื่อเป็นขวัญกำลังใจร่วมฝ่าฟันวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน
“การสุ่มตรวจการปฎิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยร่วมปฏิบัติประจำจุดตรวจควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด -19 ตั้งแต่เวลาประมาณ 22.30 น.ของวันที่ 17 เม.ย.63 ถึงเวลาประมาณ 01.00 น.ของวันที่ 18 เม.ย.63 เพื่อเป็นการให้กำลังใจเจ้าหน้าที ที่ปฎิบัติงานและมอบหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ แอลกอฮอล์ล้างมือ ชุดปลอดเชื้อ หน้ากากที่มีแผ่นกระบังป้องกันใบหน้า (Face Shield Mask) และน้ำดื่ม มอบให้แก่เจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจฯ เพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่อีกด้วย”ผบ.ตร.กล่าว
ย้ำให้เพิ่มเข้มบังคับใช้กฎหมาย
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ย้ำอีกว่านอกจากนี้ ได้กำชับให้มีความพร้อมในการให้บริการประชาชนและเน้นย้ำในการตรวจยานพาหนะที่ผ่านจุดตรวจในช่วงเวลา ตามประกาศ พรก.ฉุกเฉินฯ ห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถานฯ ระหว่างเวลา 22.00-04.00 น.เพิ่มความเข้มในการบังคับใช้กฎหมาย สร้างการรับรู้ให้แก่พี่น้องประชาชน ประกอบกับจากการออกสุ่มตรวจครั้งนี้ ได้ทราบถึงสถานการณ์และสภาพปัญหาในการปฏิบัติงาน โดย ผบ.ตร.ได้ให้ข้อแนะนำในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานให้มีความเหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ผลสอบปชป.มัลลิกาโปร่งใส
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการกล่าวหาสมาชิกพรรคมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกักตุน และการส่งออกหน้ากากอนามัยได้เปิดเผยถึงผลการตรวจสอบว่า ทางคณะกรรมการดำเนินกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยความละเอียดรอบคอบ เป็นธรรม รวบรวม หลักฐานเอกสาร และเชิญผู้เกี่ยวข้องมาให้ข้อเท็จจริง โดยเฉพาะนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ที่กล่าวหาและเผยแพร่ข้อมูลผ่านช่องทาง Facebook Fanpage ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมหลายครั้ง ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีในกระทรวงพาณิชย์ แสวงหาประโยชน์จากการได้รับโควต้าหน้ากากอนามัย โดยได้พยายามติดต่อนายอัจฉริยะมาให้ข้อมูล แต่ก็ไม่ได้รับความร่วมมือ และยังบอกอีกว่าบุคคลที่กล่าวอ้างไม่เคยพูดถึงนางมัลลิกา บุญมีตระกูล นางมัลลิกา แต่เมื่อนางมัลลิกาซึ่งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้แจ้งความดำเนินคดีข้อหาหมิ่นประมาท และความผิดตามพรบ.คอมพิวเตอรร์เอาผิดนายอัจฉริยะ
ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร
ทางคณะกรรมการฯ จึงเชิญนางมัลลิกามาให้ข้อมูล โดยได้รับคำชี้แจงทุกเรื่องที่นายอัจฉริยะกล่าวหาไม่เป็นความจริง รวมถึงไม่เคยรู้จักกับบริษัทใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกหน้ากากอนามัย และไม่เคยมีความสัมพันธ์ใด ๆ และยืนยันว่าไม่เคยเกี่ยวข้องกับการกักตุนหน้ากากอนามัยแต่อย่างใด ทางคณะกรรมการจึงสรุปว่า ผู้กล่าวหาตั้งประเด็นกล่าวหาคลุมเครือไม่ชัดเจนและไม่มีข้อมูลหลักฐานหรือข้อเท็จจริงใดที่ทำให้เชื่อได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาเกี่ยวข้องกับการกักตุนและส่งออกหน้ากากอนามัยและไม่มีข้อมูลหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่าสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ผู้ถูกกล่าวหากระทำการอันขัดต่อข้อบังคับพรรคการเมือง พรรคประชาธิปัตย์ พ.ศ. 2561 หมวด 4 เรื่องมาตรฐานทางจริยธรรมของกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกพรรคข้อ 27 ที่ระบุว่ากรรมการบริหารพรรคและสมาชิกพรรคต้องมีอุดมการณ์ในการทำงานด้วยความรับผิดชอบซื่อสัตย์สุจริตและเสียสละ จึงขอยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ สุจริต ถ้าพบว่ามีสมาชิกพรรคหรือข้าราชการการเมืองท่านใดเกี่ยวข้องกับการกักตุนและการส่งออกหน้ากากอนามัยที่ผิดกฎหมายพรรคฯ พร้อมที่จะดำเนินการลงโทษอย่างจริงจังและพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับกระบวนการยุติธรรมอย่างถึงที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี