มีทุกรูปแบบ! ตม.รวบ‘สาวแสบ-ผู้กองเก๊’หลอกขายหน้ากากอนามัย
23 เมษายน 2563 ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.พรชัย ขันตี , พล.ต.ต.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย , พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ , พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ , พล.ต.ต.ชูฉัตร ธารีฉัตร รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.ปฏิพัทธ์ สุบรรณ ณ อยุธยา รอง ผบช.ตชด. ปฏิบัติราชการ สตม. ,พล.ต.ต.พิสิฐ ตันประเสริฐ รอง ผบช.สงป. ปฏิบัติราชการ สตม., พล.ต.ต.พรชัย ขจรกลิ่น ผบก.สส.สตม. , พล.ต.ต.พีรวัส บุญลอย ผบก.ตม.6 , พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.อาภากร โกมลสุทธิ ผกก.2 บก.สส.สตม. , พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล ผกก.4 บก.สส.สตม.,พ.ต.อ.ภคยศ ทนงศักดิ์ ผกก.สส.บก.ตม.6 , พ.ต.ท.เสกสรร โคตรสิงห์ รอง ผกก.กก.4 บก.สส.สตม. และ พ.ต.ต.นนท์สมรรถ โบว์สุวรรณ สว.กก.4 บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวจับกุมกลุ่มบุคคลขายหน้ากากอนามัยเกินราคา มีผู้ต้องหาหลายราย
พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าวว่า ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาเพื่อท่องเที่ยวในประเทศไทย โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ โดยศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
ต่อมาสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและกองกำกับการ 4 กองบังคับการสืบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่า มีบุคคลใช้บัญชีใน FACEBOOK ว่า “Rakasong khaituk” ภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น “อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับ” ที่ได้โพสต์ข้อความในระบบของ ว่ามีหน้ากากอนามัยจำหน่าย ในราคากล่องละ 480 บาท โดย 1 กล่องมีหน้ากากอนามัยจำนวน 50 ชิ้น แต่เมื่อมีประชาชนหลงเชื่อทำการติดต่อแล้วโอนเงินเพื่อสั่งซื้อกลับปรากฏว่าไม่ได้รับสินค้าแต่อย่างใด
เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองได้ทำการสืบสวน จนทราบว่าผู้ต้องหาดังกล่าว คือนางสุวรรณา อายุ 30 ปี จากนั้นจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง จึงทำการรวบรวมพยานหลักฐานแล้วยื่นต่อพนักงานสอบสวน สน.เพชรเกษม ซึ่งต่อมาได้มีการออกหมายจับผู้ต้องหา ในข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน โดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”
ต่อมาเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2563 ทางเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้ทำการสืบทราบว่าผู้ต้องหาดังกล่าวเดินทางหลบหนีไปอยู่ที่จังหวัดสงขลา ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้เดินทางไปจนพบว่า ผู้ต้องหาดังกล่าวได้พักอยู่ที่บ้านใน อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้เดินทางไปตรวจสอบแล้วพบผู้ต้องหาจึงได้แสดงหมายจับเพื่อทำการจับกุม โดยผู้ต้องหายอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริง และได้นำส่งพนักงานสอบสวน สน.เพชรเกษม ดำเนินคดีตามกฎหมาย
จากการขยายผลทราบว่าผู้ต้องหาดังกล่าวมีพฤติการณ์ในการหลอกขายหน้ากากอนามัยผ่านทาง FACEBOOK โดยมีประชาชนหลงเชื่อและเสียหายกว่า 100 ราย มูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท อีกทั้งจากการตรวจสอบข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต พบว่าผู้ต้องหามีพฤติกรรมในการหลอกลวงประชาชนผ่านการขายเสื้อผ้าหรือสิ่งของต่างๆใน FACEBOOK มาตั่งแต่ปี 2559 โดยจากการตรวจสอบบัญชี FACEBOOK ของผู้ต้องหาพบว่ามีประชาชนที่หลงเชื่อและถูกหลอกไม่ต่ำกว่า 300 ราย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะได้ทำการติดต่อผู้เสียหายเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
อีกราย เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สส.สตม.ได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหายว่ามีการจำหน่ายหน้ากากอนามัยเกินราคาและไม่ได้มาตรฐาน บริเวณสถานีรถไฟฟ้าอ่อนนุช จึงได้ออกสืบสวน จนจับกุมนายมนต์ชัย พร้อมพวกรวม 3 คน ขณะกำลังขายหน้ากากอนามัยราคาชิ้นละ 20 บาท ซึ่งเกินราคา พร้อมหน้ากากอนามัยจำนวน 403 ชิ้น แจ้งข้อหาจำหน่ายหน้ากากอนามัยในราคาสูงกว่าราคาที่กำหนดเป็นการฝ่าฝืนประกาศคณะกรรมการฯ
จากการสืบสวนขยายผลทราบว่าเส้นทางการลักลอบจำหน่ายหน้ากากอนามัยมาจากย่านสำเพ็ง เยาวราช โดยมีชาวกัมพูชาลักลอบนำเข้ามากักตุนไว้บริเวณชายแดนในเขตจังหวัดสระแก้ว แล้วกระจายเข้ามาในเขตกรุงเทพมหานคร วันที่ 4 เมษายน 25636 เจ้าหน้าที่ กก.2 บก.สส.สตม. ได้ลงพื้นที่ อ.คลองลึก จ.สระแก้ว เพื่อสืบสวนการลักลอบนำหน้ากากอนามัยเข้ามากักตุน สามารถจับกุมผู้ต้องหานายลี่ และนายกุย ชาวกัมพูชาพร้อมหน้ากากอนามัยจำนวน 2,500 ชิ้น เตรียมออกจำหน่ายซึ่งกักตุนไว้ในห้องเช่าภายในตลาดเทศบาล 3 ต.อรัญประเทศ อ.คลองลึก จ.สระแก้ว
ผู้ต้องหาทั้งสองคนรับว่าได้ติดต่อชาวกัมพูชาให้ลักลอบนำเข้ามาทางบริเวณป่าแนวตะเข็บชายแดน จึงได้แจ้งข้อหาซื้อ จำหน่าย หรือรับไว้ด้วยประการใดซึ่งของอันพึงรู้ว่าเป็นของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากรฯ และจากการจับนายมนต์ชัย นายลี่ และนายกุย ทั้งสองคดี เจ้าหน้าที่ยังสืบสวนขยายผลเข้าจับกุม น.ส.นานู ซึ่งใช้เฟซบุ๊คชื่อ “คุณวรรณ” โฆษณาขายหน้ากากอนามัยในราคากล่องละ 720 บาท และโอนเงินจ่ายทางบัญชีธนาคาร และส่งหน้ากากให้ทางพัสดุไปรษณีย์เจ้าหน้าที่ได้ให้สาบลับแฝงตัวเข้าไปสั่งซื้อ จนสามารถจับกุมได้ที่บ้านพัก ใน ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว พร้อมหน้ากากอนามัย 300 ชิ้น แจ้งข้อหาจำหน่ายหน้ากากอนามัยในราคาสูงกว่าราคาที่กำหนดเป็นการฝ่าฝืนประกาศคณะกรรมการฯ
รายต่อมา บก.สส.สตม. รับแจ้งจากผู้เสียหายว่า ผู้เสียหายได้ติดต่อพูดคุยกับคนร้ายผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ ชื่อ “ผู้กองเมษฐ์” โดยคนร้ายได้เสนอขายหน้ากากอนามัยให้กับผู้เสียหาย ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้โอนเงินเข้าบัญชีของคนร้าย บัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา ชื่อนางศิระกาญจน์ จำนวน 8 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,460,000 บาท ซึ่งหลังจากโอนเงินไปแล้วคนร้ายก็ ไม่ส่งหน้ากากอนามัยให้และบ่ายเบี่ยงเรื่อยมา ผู้เสียหายเชื่อว่าถูกคนร้ายหลอกลวงให้ได้รับความเสียหาย จึงได้แจ้งความต่อ พนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน เพื่อดำเนินคดีกับคนร้ายตามกฎหมาย
พล.ต.ต.พรชัย ขจรกลิ่น ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม. จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.สส.สตม. ดำเนินการสืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดในคดีดังกล่าว ซึ่งจากการสืบสวนของ กก.1 บก.สส.สตม. โดยการตรวจสอบข้อมูลจากเลขบัญชีธนาคารตลอดจนการไล่ภาพจากกล้องวงจรปิด ทราบว่าผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวมีจำนวน 2 คน ดังนี้
นายธรณิศร หรือเชน อายุ 25 ปี สัญชาติไทย เป็นผู้หลอกขายหน้ากากอนามัย และ นางศิระกาญจน์ หรือเบิร์ด อายุ 38 ปี สัญชาติไทย (แม่เลี้ยงนายธรณิศร) เป็นเจ้าของบัญชีธนาคารที่ผู้เสียหายโอนเงินเข้าฯ หลังจากนั้นจึงได้ทำรายงานการสืบสวนส่งไปให้ พนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน เพื่อขอศาลออกหมายจับ ต่อมาเจ้าหน้าที่ กก.1 บก.สส.สตม. จึงได้ร่วมกับ ศปอส.ตร., กก.สส.4 บก.สส.ภ.8 และ สภ.ท่าฉาง จ.สุราษฎร์ธานี นำหมายจับของศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 194/2563 ลงวันที่ 11 เมษายน 2563 ไปจับกุมตัวนางศิระกาญจน์ ได้ที่ บ้านพักใน จ.สุราษฎร์ธานี และนำหมายจับของศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 195/2563 ลงวันที่ 11 เมษายน 2563 ไปจับกุมนายธรณิศร ได้ที่บริเวณปากซอยศรีเกษม 21 ถ.ศรีเกษม ต.มะขามเตี้ย อ.เมืองสุราษฎร์ จ.สุราษฎร์ธานี
จากการสอบถามนายนายธรณิศฯ ให้การรับสารภาพว่า ตนเป็นผู้นำภาพถ่ายของ พ.ต.ต.กฤต เจริญผล สว.อก.สภ.วังทอง จว.พิษณุโลก มาใช้ในการสร้างเฟสบุ๊คชื่อ “ผู้กองเมษฐ์” แล้วหลอกลวงขายหน้ากากอนามัยให้กับผู้เสียหาย ต่อมาเมื่อผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชีของนางศิระกาญจน์ฯ ซึ่งเป็นแม่เลี้ยง ตนก็ได้ไปกดเงินบางส่วนจากตู้เอทีเอ็ม บางส่วนได้นำไปใช้ในการเล่นการพนัน เที่ยวเตร่ เจ้าหน้าที่จึงนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ส่ง พงส.สน.ปทุมวัน ดำเนินคดีตามกฎหมาย
จากการตรวจสอบประวัติพบนายธรณิศรฯ เคยถูกแจ้งความดำเนินคดีความผิดลักษณะนี้มาแล้วหลายคดี โดยใช้โปรไฟล์อื่นเช่น “Nan Sudarat” และ “Man inBlack” จึงขอฝากสื่อมวลชนช่วยประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบว่า หากมีประชาชนหรือผู้เสียหายรายใดเคยถูกหลอกลวงในลักษณะเดียวกันนี้ ขอให้ติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ ศปอส.ตร. หมายเลขโทรศัพท์ 1599 และ 0 2252 7883 เพื่อดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดต่อไป
พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าวว่า สำหรับโทษที่ผู้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ในข้อหาขายเกินราคาควบคุม จะได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท ข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคาขายมีอัตราโทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท ในข้อหาขายแพงเกินสมควรมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน1.4 แสนบาท และหากเป็นผู้นำเข้าหรือตัวแทนจำหน่ายก็ต้องแจ้งปริมาณการถือครองสินค้าต่อกรมการค้าภายใน หากฝ่าฝืนจะมีความผิดซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท ด้วย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี