ช่วงนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหน เห็นมีการพูดคุย การตั้งวงสัมมนากันหลายๆ ที่แบบมีระยะห่างทางสังคม ซึ่งไม่ว่าจะต่างกลุ่มต่างสถาบันกันอย่างไร ประเด็นที่พูดคุยและมุ่งทิศตรงกัน ถือว่าเป็นประเด็นสำคัญก็คือ จะฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจของประเทศอย่างไร มีการพูดคุยแตกย่อยกันเป็นรายสาขาอาชีพหรือภาคส่วนเศรษฐกิจภาคต่างๆ ทำอย่างไรถึงจะฟื้นฟูกลับมาให้เหมือนเดิม ใกล้เคียงหรืออาจดีกว่าเดิมให้ได้ ซึ่งแน่นอน ไม่เว้นภาคเกษตร ทั้งนี้ แต่ละกลุ่มต่างก็มองตรงกันว่า ภาคเกษตรจะเป็นพื้นฐานสำคัญของการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ว่าทิศทางนโยบายหรือมาตรการจะไปทางใดก็ตาม ต่างก็สถาปนาให้ว่าต้องเริ่มต้นที่ภาคเกษตรก่อนเสมอ ทั้งเป็นแหล่งความมั่งคงทางอาหาร เป็นแหล่งวัตถุดิบป้อนอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมต่างๆ ที่จะตามมา เป็นแหล่งดูดซับแรงงานส่วนเกิน หรือแม้แต่สร้างความมั่นคงทางสังคมที่เป็นลักษณะพหุวัฒนธรรมที่รับเอาความแตกต่างของชุมชนเอาไว้ด้วยการเจริญเติบโตของภาคการเกษตร
ดังนั้น หากการณ์เป็นเช่นนี้ ต้องย้อนกลับมามองภาคเกษตรว่าเป็นอย่างไรในปัจจุบัน พอที่จะตอบสนองความคาดหวังต่างๆ ของสังคมในภาคธุรกิจอื่นหรือผู้วางนโยบายอย่างไรได้บ้าง ทั้งส่วนของแนวทาง แนวคิดการทำการเกษตรบุคลากรทุกคน ทุกระดับในภาคการเกษตร ปัจจัยพื้นฐานการขับเคลื่อน ปัญหาอุปสรรคต่างๆ หรือแม้แต่ทิศทางในการดำเนินการตามรูปแบบธุรกิจ และการเผชิญหน้าการ Disrupt technology ที่ถูกรื้อหรือเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย สิ่งต่างๆเหล่านี้ในภาคการเกษตรมีการปรับตัวและเตรียมการรองรับได้หรือยัง นับเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด ผู้ที่จะต้องปรับและเปลี่ยน ยังไม่รู้เลยว่าจะปรับหรือเปลี่ยนอย่างไร เพื่อตอบสนองความคาดหวังในภาคการเกษตรได้ ถ้าเป็นเช่นนี้คงยากที่จะเป็นที่พึ่งหรือเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะนำไปสู่การพัฒนาอย่างมั่นคงและยั่งยืนได้อย่างแท้จริง ทุกคนในภาคเกษตรคงจะต้องกลับมาทบทวนยังคงทำการเกษตรแบบเดิมๆ อยู่อีกหรือไม่หรือจะยอมปรับเปลี่ยน และถ้าจะปรับเปลี่ยน จะต้องดำเนินการอย่างไร เริ่มต้นตรงไหน ไปในทิศทางใด สิ่งใดจะเป็นตัวช่วยในการปรับเปลี่ยนดังกล่าวได้บ้าง ประเด็นเหล่านี้ต้องการผู้ที่เข้าใจ มองทุกอย่าง อย่างเป็นระบบ สามารถนำมาเรียงร้อยให้เกิดความสอดรับกับการพัฒนาให้เกิดผลอย่างแท้จริง คงไม่สามารถคิดและวางแผนดำเนินการอะไรอย่างเผินๆหรือแยกส่วนได้อีกแล้ว เพราะต้องไม่ลืมว่า ทุกภาคส่วนก็ล้วนถูกบังคับให้มีการเปลี่ยนแปลงไปแล้วเช่นกัน ดังนั้น ถ้าภาคเกษตรจะทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ ก็จะต้องมีการปรับเปลี่ยนด้วยเช่นกัน
ห้วงเวลาเช่นนี้ หน่วยงานต่างๆที่มีหน้าที่ คงต้องช่วยกันคิดให้รอบคอบ รอบด้าน เพื่อนำพาภาคเกษตรให้ก้าวเปลี่ยนผ่านไปให้ได้ ยิ่งความบอบช้ำที่เกิดกับภาคเศรษฐกิจของชาติมากเท่าไหร่ ยิ่งต้องคิดและวางแผน ขับเคลื่อนให้มากขึ้นเป็นเท่าตัว
รูปแบบของการดำเนินการทั้งระยะเฉพาะหน้า ระยะปานกลาง และระยะยาวในอนาคต ต้องคิดและวางแผนไว้อย่างรัดกุม เพื่อสร้างฉากทัศน์ในอนาคตให้ได้ด้วย การที่ร้ฐทุ่มงบประมาณนับแสนล้านบาท เพื่อให้หน่วยงานนำไปคิด หาทางออกและวางรากฐานการพัฒนาต่อไป จึงมีความจำเป็นมาก แต่เท่าที่ได้สดับตรับฟังมา วิธีการคิดในกลุ่มคนที่มีหน้าที่โดยตรงต่อการนำพาการพัฒนาภาคเกษตร ยังคงวนเวียนในกรอบเดิมๆ ไม่ได้วางแนวทางใดๆ ไว้สำหรับอนาคตเลย ทำไมไม่ใช้โอกาสอย่างนี้คิดใหม่ วางแนวทางสำหรับการพัฒนาภาคเกษตรใหม่ไปเลย ปรับโฉมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน แบ่งการพัฒนาให้ชัดๆ จะปรับทิศทางอย่างไรก็วางไว้ให้ชัดๆแล้วสนับสนุนให้เต็มที่ เพื่อให้บังเกิดผลให้ได้ แต่ถ้ายังคิดวนเวียนอยู่แต่เรื่อง ฝนแล้ง แมลงลง โรคระบาด ขาดตลาด ไม่มีที่ดินทำกิน แล้วก็สาละวนกับปัญหาเหล่านี้ สุดท้ายก็หนีออกจากวงจรเดิมไม่พ้น วนไปวนมากับปัญหาเหล่านี้ ไม่นำพาภาคเกษตรไปสู่ทางออกที่ดีและบังเกิดผลความมั่นคงในอาชีพและเป็นฐานทางเศรษฐกิจของชาติได้อย่างแท้จริง ช่างเป็นอมตะนิรันดร์กาลจริงๆ ผมได้แต่ลุ้นว่าจะมีผู้กล้าที่แท้จริงนำการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาภาคเกษตรให้หนีพ้นจากปัญหาอมดะนิรันดร์กาลได้สักที
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี