(ถอดความจากการบรรยายเรื่อง “ผลกระทบของโรคระบาดต่อชีวิตคนไร้บ้าน และผู้คนในชุมชนแออัด” โดยนุชนารถ แท่นทอง ที่ปรึกษาเครือข่ายสลัม4 ภาค ว่าด้วยชีวิตคนไร้บ้านและผู้อยู่อาศัยในชุมชนแออัดที่ต้องแบกรับผลกระทบจากนโยบายควบคุมโรคระบาดของรัฐ คนเหล่านี้ต้องแบกรับและสูญเสียสิ่งใดในชีวิตไปบ้างภายใต้นโยบายที่รัฐสั่งปิดเมืองเพื่อสกัดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งการบรรยายดังกล่าวจัดโดย “คณะก้าวหน้าแรงงาน” ท่านทางเฟซบุ๊คแฟนเพจ เมื่อเร็วๆ นี้)
นุชนารถ : ถ้าพูดถึงคนไร้บ้านกับผู้มีรายได้น้อยนั้นต่างกัน คนไร้บ้านเข้าไม่ถึงข้อมูลแน่นอน โดยเฉพาะคนไร้บ้านนอกศูนย์ คือไม่มีที่พักพิง แต่ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงข้อมูลมากกว่าเพราะอยู่ในบ้าน ดูทีวี มีโทรศัพท์ เราได้ผลวิจัยจากอาจารย์บุญเลิศ (ผศ.ดร.บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)คนที่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและอุปกรณ์ป้องกันเลยคือคนไร้บ้าน แล้วคนรายได้น้อยส่วนที่เดือดร้อนจริงๆ ก็จะเข้าไม่ถึงอุปกรณ์ป้องกันและข้อมูลข่าวสาร
ชุมชนแออัดเมื่อช่วงโรคเริ่มระบาดใหม่ๆ ก็ไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน (เจลล้างมือ-หน้ากากอนามัย) หาซื้อไม่ได้ ราคาสูงมากยังไม่มีการจำหน่ายจ่ายแจก ยังไม่มีมาตรการมามอบหรือบริจาค แอลกอฮอล์ที่เคยซื้อขวดละ50 บาท ขึ้นไป 290 บาท มันไม่สอดคล้องกับที่เราต้องซื้อ เราก็เป็นผู้เดือดร้อนเหมือนกันตอนนี้ก็จะเริ่มมีหน่วยงานมาแจก อย่างเครือข่ายสลัม 4 ภาคก็เป็นเครือข่ายประชาสังคม (NGO) หน่วยงานรัฐก็มี แล้วก็พวกบริษัทห้างร้านเอกชนก็มีมาบริจาคสิ่งของ อุปกรณ์ป้องกัน เพื่อให้คนในชุมชนแออัดและคนไร้บ้านได้เข้าถึง
เราเปิดศูนย์รับบริจาคเพราะมีหน่วยงานอยากช่วยเหลือแต่ขอให้เราเป็นสื่อกลาง ก็มีการไปมอบให้คนไร้บ้านเป็นจุดๆ แล้วก็ลงไปที่พื้นที่ แต่จะให้ทั้งชุมชนทั้งหมดคงไม่เพียงพอเราก็จะเลือกคัดกรองว่าใครลำบากที่สุด แน่นอนที่สุดคนในชุมชนเขาจะรู้กันว่าคนใดหรือครอบครัวใดเดือดร้อนที่สุดเพราะเขาอยู่ด้วยกัน ที่เห็นรัฐไปจับกุมคนบริจาค คือการบริจาคมันมีหลายแบบ แต่ส่วนที่เราทำเราไม่ได้ไปตั้งแถวบริจาค ส่วนใหญ่เราส่งตรงไปที่ชุมชน เครือข่ายจะเป็นคนคัดกรองจากชุมชนชุมชนก็จะนำของเหล่านี้ไปถึงมือชาวบ้าน
แต่ส่วนใหญ่เราจะเห็นว่า คนที่ใกล้ชิดกับพวกเราที่สุดก็คือพวกเราด้วยกันเอง จะรู้ว่าใครที่จะช่วยเหลือก่อน-หลัง เราก็วางมาตรการ 1-2-3 เช่น ครอบครัวนี้ได้รับการช่วยเหลือไปแล้ว ก็เป็นชุดที่ 2 การบริจาคมันไม่ได้มีเข้ามาทุกวัน เราก็มีการจำหน่ายของออกไปอาทิตย์ละครั้งเพื่อให้ไปถึงชุมชน เราจะปิดรับบริจาคแล้วเพราะว่าการบริจาคทำให้ประชาชนเราเองขาดความเข้มแข็งไปเลย เพราะโรคนี้ไม่ได้อยู่กับเราแค่ 2-3 เดือน อาจจะ 1 ปี 2 ปี 3 ปี หรือว่าเราจะมีวิถีชีวิตแบบนี้ต่อไป เราก็ต้องเปลี่ยนรูปแบบ เรียกว่าปรับตัว
“ถ้าเป็นเรื่องอาหารหรือสิ่งของ ภาคเอกชนเร็วสุดแต่รัฐไม่มี แต่ตอนนี้รัฐเริ่มออกมาทำ แต่ส่วนน้อยที่คนในชุมชนแออัดเองหรือคนไร้บ้านจะเข้าถึง เราลองดูสถิติจากสมาชิก 53 ชุมชนได้กี่คน เราเห็นแล้วว่าไม่ได้ครอบคลุมแล้วก็ช้า มาตรการเคอร์ฟิวเป็นมาตรการที่กำหนดออกมาโดยรัฐ แต่มันควรคำนึงถึงกลุ่มเฉพาะ เช่น คนไร้บ้าน หรือแรงงานตามไซต์งาน ซึ่งไม่ควรไปจับเขา
เพราะจริงๆ เขาไม่มีบ้านอยู่แล้วค่ำไหนอยู่ตรงไหนเขาก็จะนอนที่นั่น รัฐไปจับเขาแล้วไม่มีมาตรการอื่นรองรับ ยังจับยังปรับ เราเห็นว่ามันไม่สอดคล้องเหมาะสมมันเป็นช่วงวิกฤติ งานก็ตกเงินก็หายากรายได้ก็ไม่มี จริงๆ คนไร้บ้านเขาหากินไปวันๆ จริงๆ ถ้าเราตกงานด้วยเขาจะไปเอาที่ไหน ยังมีการจับปรับ มาตรการทางกฎหมายมันมีมาตรฐานที่ไม่แน่นอนจริงๆ มันไม่มีมาตรฐานอะไรเลย”
จริงๆ มาตรการของรัฐควรเป็นมาตรการถ้วนหน้า มันจะไม่เกิดปัญหาออกมาทุกวัน ต่อล้อต่อเถียงกันว่าคนมีสตางค์ได้คนมีรายได้มากกว่าฉันได้ มาตรการเฉพาะหน้าควรเป็นแบบถ้วนหน้าเพราะทุกกลุ่มได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด แต่กลุ่มที่หนักที่สุดเป็นกลุ่มแรงงานกลุ่มรับจ้างหรือบริการ หรือลูกจ้างรายวันอย่างพวกเรา คนในชุมชนแออัดจะเดือดร้อนเยอะจริงๆ เรายอมรับ เราเห็นชัดเจน บางที่ไม่มีรายได้อะไรเลย บางชุมชนบ้านที่พอมีก็แบ่งให้กันกิน แต่คนไร้บ้านเขาอยู่ตามจุดต่างๆ ถ้าไม่มีใครไปบริจาคหรือไปให้เขาก็คงลำบากพอสมควร
“เงินเยียวยา 5,000 บาท (โครงการเราไม่ทิ้งกัน) สมมุติว่า 100 คน สัก 5 คนมั้งที่เราเช็คดู คือไม่เยอะ ส่วนหนึ่งลงทะเบียนเองไม่เป็น บางคนลงแล้วเป็นเกษตรกรหมดจะออกมาทำงานค้าแรงงานตั้งแต่อายุ15-16 ปี ก็ยังเป็นเกษตรกร ไม่ผ่านเกณฑ์เยอะมากทั้งๆ ที่เขาก็มีอาชีพค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ถ้าไม่จดทะเบียนไม่ขึ้นทะเบียนก็โดนจับ พอไปขึ้นทะเบียนกลายเป็นนักธุรกิจเลย ขำกันมากที่เขาตอบมาว่าเป็นธุรกิจ อะไรแบบนี้เป็นต้น คือถ้วนหน้าดีที่สุดถ้าทุกคนเข้าถึงมันก็เป็นเรื่องที่ดีในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ส่วนระยะยาวค่อยมาว่ากันว่าจะทำอะไรกันต่อไป”
เรื่องที่รัฐออกมาตรการ เช่น ที่พักพร้อมอาหาร 3 มื้อ ตอบโจทย์ไหม? ตอบตามตรงเลยว่าไม่ได้ คนไร้บ้านเพิ่มมากขึ้นศูนย์ที่รองรับก็ไม่สอดคล้องกับเขา บางพื้นที่ถึงกับต่อต้านไม่ให้คนไร้บ้านเข้ามา แล้วคนที่ไปอยู่ในศูนย์นั้นก่อนก็ไม่อยากให้ใครนอกเหนือจากนั้นเข้าไปเพราะมีปัญหากัน ฉะนั้นมาตรการที่รัฐจะทำได้ก็คือต้องมีอาหารและที่พักที่เพียงพอสำหรับเขา ถึงจะมีมาตรการต่อๆ ไปออกมาได้ เราเห็นสิ่งที่รัฐทำ ทำจากแนวคิดของรัฐเองแต่ไม่ได้ถามคนที่ได้รับผลกระทบเขาต้องการอย่างนั้นหรือเปล่า เขาอยากได้ปลาแต่เอาไก่ไปให้เขากิน เขาเป็นเกาต์ก็กินไม่ได้
มาตรการระยะวิกฤติหรือระยะเฉพาะหน้าเป็นแบบถ้วนหน้า ทุกคนจะได้มีสตางค์ไว้ซื้อกิน ถ้าในครอบครัวที่ต้องผจญกับการตกงาน 2-3 เดือน เขาก็จะมีทุนตั้งตัวในการคิดหาทางออก ส่วนระยะยาวอาจต้องพูดถึงการเข้าถึงแหล่งทุนที่เขาสามารถประกอบอาชีพได้ หรือปรับปรุงพื้นฐานอาชีพถ้าหากว่าเขาถูกเลิกจ้าง เขาตระหนัก ตอนนี้เราก็พูดถึงการลดต้นทุน อาจจะมีการปลูกผักเลี้ยงปลา ทำอะไรก็แล้วแต่ที่มันสอดคล้องกับถิ่นที่เขาอยู่
จนถึงขนาดที่เขาอาจจะปลูกพืชที่มันลดต้นทุน และผลิตภัณฑ์ที่เราต้องใช้เองก่อนที่จะขายออกไป เป็นการช่วยกันในกลุ่ม อันนี้เรียกว่าการสร้างความยั่งยืน บางทีวิกฤติอาจจะสร้างโอกาส คนมีฝีมือบางทีทำงานอยู่ ทำอาหารส่งออกได้ ขายคนอื่นได้ อาจจะทำอยู่ในบ้านแล้วก็ส่ง เปลี่ยนรูปแบบ เราก็ต้องคิดวิธีการ เพราะว่าการบริจาคไม่ได้มีตลอดทั้งปีทั้งชาติ เราจะรอรับการสงเคราะห์อย่างเดียวได้อย่างไร เราต้องลุกขึ้นมาช่วยตัวเองด้วย
เรื่องถ้วนหน้านี่ภาคประชาสังคมหลายกลุ่มเคยเสนอกับรัฐบาลในหลายเรื่อง อาชีพ การศึกษา หรือบำนาญผู้สูงอายุแห่งชาติที่สามารถทำได้เลยกับผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เราอยู่ในสังคมผู้สูงอายุ เหมือนประเทศเรากำลังล้างไพ่แล้วเริ่มใหม่ เราควรมีมาตรการแบบนี้เกิดขึ้น เบี้ยยังชีพก็เปลี่ยนเป็นบำนาญ การเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่สอดคล้องกับเขา แรงงานควรจะมีมาตรการแบบไหนที่ควรจะเข้าถึงแล้วทุกคนมีความสุข แล้วก็ถ้วนหน้า การที่จะเสียภาษีมากแล้วมาดูแลเขา มันเป็นทางเลือก
หรือจะสนับสนุนให้เกิดถ้วนหน้าแต่ว่ารัฐกับประชาชนร่วมจ่าย แต่ดูแล้วมันได้ผล เราก็เห็นด้วย รัฐควรที่จะสนับสนุน นี่ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้ประเทศก้าวหน้าด้วย เพราะถ้าคุณยังใช้สงเคราะห์อยู่ประชาชนก็อ่อนแอ ไม่โตเสียที คิดเองไม่เป็นรอรัฐอย่างเดียว ถ้ารัฐไม่จัดให้เขาทำอะไรไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ คนมันต้องก้าวหน้าเดินหน้า แล้วถ้วนหน้าเป็นเรื่องที่รัฐควรหยิบยกมาเป็นนโยบายในตอนนี้
แล้วการเข้าถึงแหล่งทุน มันเป็นการเข้าถึงยากมาก ยิ่งเป็นคนชั้นชุมชนแออัด คนจน คนรากหญ้าจะเข้าไม่ถึง มีโฆษณาเยอะแยะ ตอนนี้เกิดมีวิกฤติ มีหน่วยเงินกู้ร้อยละ 2 เต็มหน้าเพจเฟซบุ๊คไปหมด แต่เราเข้าไม่ถึง หลักทรัพย์เราไม่มี ประกาศไปอย่างนั้น ลงทะเบียนไปอย่างนั้นแต่ไม่ได้เหมือนเงิน 5,000 บาท แล้วเรื่องที่อยู่อาศัยอยู่ใน 9 ด้านเรื่องสวัสดิการถ้วนหน้ามีเรื่องของการเข้าถึงที่ดิน ที่อยู่อาศัยการศึกษา สุขภาพ บำนาญ อุดหนุนเด็กตั้งแต่เกิดจนตาย
รัฐบาลควรนำขึ้นมาช่วยกันดู มันควรจะทำอะไร 1-2-3 คงจะไม่ได้ทำพร้อมกันทั้ง 9 ด้าน แต่มันควรจะมีอะไรที่ทำ 1-2-3 ได้ก่อน ง่ายๆ ที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัย 4 มันต้องมีแน่นอน ถ้าที่ดินไม่เปิดก็เข้าถึงที่อยู่อาศัยไม่ได้ ชนชั้นกลางซื้อบ้านแพงเพราะที่ดินแพง ภาษีอัตราก้าวหน้าก็ต้องพูดถึงด้วย!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี