“โควิด-19 (COVID-19)”ไวรัสร้ายที่นอกจากจะทำให้คนป่วยไข้และล้มตายแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นวงกว้างด้วย กล่าวคือ กลายเป็น “โจทย์ยาก” ในการรับมือของรัฐบาลประเทศต่างๆ ว่าจะทำอย่างไร เพราะการ “ล็อกดาวน์ (Lockdown)” ตัดกิจกรรมต่างๆ ที่คนต้องรวมตัวกันออกให้เหลือน้อยที่สุดจะเป็นวิธีที่ได้ผลในการหยุดการระบาดของโรค แต่มีผลข้างเคียงต่อการทำมาหากินของผู้คนอย่างกว้างขวาง และยังนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างคนในประเทศเดียวกันด้วยระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนกับฝ่ายคัดค้านล็อกดาวน์
เมื่อเร็วๆ นี้ ศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม(CRISP) คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเสวนาออนไลน์ “โควิด 19 กับการออกแบบสวัสดิการใหม่” โดยวิทยากร ภาคภูมิ แสงกนกกุลอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่าการใช้อำนาจบังคับเพื่อป้องกันโรคต้องมีองค์ประกอบ 1.เป็นไปเพื่อป้องกันโรค 2.รักษาคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน 3.รักษาระบบเศรษฐกิจ
“แต่เมื่อมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง..คำถามที่ตามมาคือจะจัดสวัสดิการอย่างไรให้เป็นธรรม”โดยกรอบคิดในการพิจารณา (Moral Concept) ซึ่งมีหลายสำนัก อาทิ 1.อรรถประโยชน์นิยม เห็นว่าการกระจายสวัสดิการที่ดีคือกระจายและเกิดอรรถประโยชน์สูงสุดทั้งต่อปัจเจกชนและส่วนรวม จึงสนับสนุนให้รัฐแทรกแซงเพื่อเป้าหมายนั้น 2.เสรีนิยม การกระจายสวัสดิการต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานเสรีเน้นกลไกตลาด ไม่ควรมีอำนาจใดมาบังคับให้คนกลุ่มหนึ่งสละสวัสดิการเพื่อคนกลุ่มอื่น จึงเชื่อในระบบตลาดและการกุศลเพราะไม่มีการบังคับ
3.เท่าเทียมนิยม การกระจายสวัสดิการที่ดีต้องเท่ากันหมดทุกคน จึงสนับสนุนให้รัฐแทรกแซงเพื่อเป้าหมายนั้น และ 4.ชุมชนนิยม การกระจายสวัสดิการขึ้นอยู่กับวิถีของแต่ละสังคม “แนวคิดเหล่านี้ต้องหารือกันในสังคมให้ตกผลึกก่อนเริ่มนโยบายควบคุมโรคเพราะการควบคุมโรคต้องมีสมดุลระหว่างไม่ให้โรคระบาดขณะที่ต้องรักษาเสรีภาพของประชาชนด้วย” หรือควบคุมโรคแล้วระบบเศรษฐกิจยังอยู่ได้และสังคมยังมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ถึงกระนั้นก็ยังมีคำถามได้อีกเช่น “จะให้เงินหรือสิ่งของ” ข้อดีของการแจกเงินคือสะดวกและคล่องตัวในการนำไปใช้ แต่ผลข้างเคียงคือเมื่อรัฐบาลอัดฉีดเงินเข้าไปจำนวนมาก ปริมาณเงินในระบบก็เพิ่มขึ้นมากจนอาจก่อปัญหาเงินเฟ้อได้ หรือหากตลาดทำงานได้ไม่เต็มที่แม้มีเงินก็ใช้ไม่ได้ ดังที่บางช่วงมีข่าวหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ล้างมือ หรือไข่ไก่ขาดตลาด รวมถึงแม้จะมีเงินก็ยังต้องออกจากบ้านไปซื้อของซึ่งก็ยังส่งผลต่อความเสี่ยงในการระบาดของโรค ส่วนการให้เป็นสิ่งของจะมีปัญหาอีกแบบคือของที่ได้อาจไม่ตรงกันความต้องการของผู้รับ
หรือคำถาม “แล้วจะให้กลุ่มไหน” ซึ่งเป็นคำถามที่ยากมาก เช่น ถ้าหากให้แบบจำกัดวงน้อยๆส่วนแบ่งที่แต่ละคนจะได้จะมีปริมาณมาก แต่ปัญหาคือระบบนี้จะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อผู้วางนโยบายมีฐานข้อมูลมากเพียงพอให้พิจารณาว่าใครคือคนที่สมควรได้รับความช่วยเหลือจริงๆ แต่หากเป็นการให้แบบถ้วนหน้า ส่วนแบ่งที่แต่ละคนจะได้ย่อมน้อยลง เช่น ที่มีผู้คำนวณว่าการให้เงินเยียวยาโครงการเราไม่ทิ้งกัน 5,000 บาท หากเปลี่ยนจากระบบคัดกรองเป็นให้ทุกคน แต่ละคนก็จะได้เพียง 3,000 บาท แต่มีข้อดีคือไม่ต้องใช้ข้อมูลมากเพื่อตรวจสอบ
อาจารย์ภาคภูมิ กล่าวต่อไปว่า หากนับเฉพาะสถานการณ์โควิด-19 สามารถแบ่งเป็น 3 ระยะ1.ระยะสั้น 3-6 เดือน 2.ระยะกลาง1-2 ปี และ 3.ระยะยาว “ระยะสั้น”ชีวิตคนต้องมาก่อนเศรษฐกิจ “สวัสดิการใดๆ ที่ช่วยให้คนรอดตายพร้อมกับควบคุมโรคระบาดได้ยิ่งมีมากยิ่งดี” เช่นสวัสดิการด้านเครื่องมือป้องกันโรค(หน้ากาก แอลกอฮอล์ล้างมือ) รวมถึงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการลดความเสี่ยง ปัญหาคือนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2563 ที่เริ่มมีข่าวการระบาด จนถึงเดือนมี.ค.2563 มีช่วงเวลาราว 1 เดือนเศษแต่เวลานั้นรัฐบาลประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไปจึงเตรียมตัวไม่ทัน
ขณะที่การตั้งทีมงานขึ้นมารับมือวิกฤติโรคระบาด “คำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO)ไม่ได้กำหนดให้ฝ่ายสาธารณสุขเป็นผู้ตัดสินใจ เพราะแม้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญแต่การตัดสินใจไม่สามารถใช้กรอบคิดด้านระบาดวิทยาอย่างเดียวได้” ต้องมีคนทำงานด้านอื่นๆ เช่น นักเศรษฐศาสตร์นักกฎหมาย แม้กระทั่งภาคเอกชน นอกจากนี้ยังไม่สามารถสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจได้ บางครั้งวันนี้พูดอย่างหนึ่งวันรุ่งขึ้นก็ต้องมาแก้ข่าว เมื่อเข้าใจไม่ตรงกันแต่ละคนก็จะปฏิบัติตัวต่างกัน และบางพฤติกรรมที่ปฏิบัติอาจเพิ่มความเสี่ยงการระบาดของโรค
“ระยะกลาง” หมายถึงควบคุมการระบาดได้โดยจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มไม่มากจนเกินกำลังของระบบสาธารณสุข เช่น มีคนไข้เข้ารับการรักษาน้อยกว่าคนที่หายแล้วออกจากโรงพยาบาล ระยะนี้ต้องป้องกันไม่ให้การระบาดใหญ่ระลอก 2 จุดนี้ความท้าทายอยู่ที่ 1.ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ฤดูฝน ทำให้แยกแยะยากว่าใครป่วยจากไวรัสโควิด-19 หรือเป็นหวัดทั่วๆ ไป
2.เริ่มเข้าสู่มาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์ รัฐบาลต้องอธิบายให้ชัดว่ากิจการใดเปิดได้หรือไม่ได้เพราะอะไรโดยมีหลักฐานที่เชื่อถือได้มายืนยันความเสี่ยงของกิจการแต่ละประเภท ข้อปฏิบัติที่ชัดเจนว่าแต่ละคนใครต้องทำอะไรบ้าง รวมถึงหากมีวัคซีนจะยิ่งมีคำถามตามมาอีกตั้งแต่จะให้ใครได้รับก่อนจะซื้อวัคซีนจากประเทศไหน จะกระจายอย่างไร เพื่อไม่ให้สังคมโกลาหล
“วัคซีนไม่สามารถผลิตพร้อมกัน 70 ล้านโดส ได้ในเวลาเดียว ประเทศไทยยังไม่มีความพร้อม (Facility) ในการผลิตวัคซีน สุดท้ายก็ต้องไปซื้อ แล้วการซื้อวัคซีนที่ผลิตใหม่มีสิทธิบัตรยา ก็ต้องไปเจรจาก่อนว่าใช้ CL (Compulsory Licensing-ลดข้อจำกัดเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา) ยากับวัคซีนนี้ได้ไหมเพื่อให้มันถูกลงแล้วกลุ่มไหนจะเป็นคนได้รับก่อนแน่นอนเมื่อมีวัคซีน สิ่งที่ตามมาคือตลาดมืด ก็ต้องเข้าไปควบคุมอีกไม่ให้มีการลักลอบขายยาปลอมวัคซีนปลอม ไม่เช่นนั้นคนจะเข้าใจผิดว่ามีภูมิคุ้มกันแล้วก็ออกมาใช้ชีวิตประจำวัน” อาจารย์ภาคภูมิ กล่าว
สุดท้าย “ระยะยาว” เมื่อจำนวนประชากรที่มีภูมิต้านทานโรคเพิ่มขึ้นมากพอให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ก็จะเป็นเวลาฟื้นฟูเศรษฐกิจ ปัญหาคือ“ทุกครั้งที่มีวิกฤติคนกลุ่มที่รวยที่สุดยิ่งร่ำรวย ส่วนคนกลุ่มที่จนที่สุดยิ่งยากจน” จะทำให้คนกลุ่มล่างสุดฟื้นฟูชีวิตกลับมาได้อย่างไร!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี