14 พฤษภาคม 2563 พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ องคมนตรี ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ในพระบรมราชูปถัมภ์ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศธ.) และพันเอก ดร.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ได้ร่วมแถลงข่าว การจัดการศึกษาทางไกลทางโทรทัศน์ระบบดิจิทัล ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ผ่านสัญญาณฟรีทีวี 17 ช่อง ครอบคุมการศึกษาขั้นพื้นฐาน อาชีวะ และ กศน.ที่จะเริ่มทดลองในวันที่ 18 พ.ค.นี้ เพื่อรองรับการเปิดภาคเรียนในวันที่ 1 ก.ค. 2563
โดยมีคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เข้าร่วมรับฟัง ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ชั้น 3 อาคารรัชมังคลาภิเษก กระทรวงศึกษาธิการ
พลเอกดาว์พงษ์ กล่าาวว่า มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ในพระบรมราชูปถัมภ์(DLTV) พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร(รัชกาลที่9) ทรงก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2538 มีวัตถุประสงค์ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของเด็กไทย ในโรงเรียนที่มีครูไม่ครบชั้น และครูสอนในวิชาที่ไม่ได้จบมาโดยตรง เช่น โรงเรียนชายขอบ โรงเรียนในเกาะ แก่ง ซึ่งมีโรงเรียนประเภทนี้อยู่จำนวน 14,000 กว่าโรง และมีนักเรียนอยู่ 9 แสนกว่าคน เมื่อถึงรัชกาลที่ 10 ได้ทรงสืบสาน รักษา ต่อยอด โครงการฯ และทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ปรับปรุงและพัฒนาระบบการแพร่ภาพสัญญาณ DLTV ให้เป็นระบบ SD และปรับห้องเรียนต้นทางรวมทั้งสื่อการเรียนการสอนใหม่ เพื่อให้มีความน่าสนใจและเด็กเข้าใจได้ง่ายขึ้น แต่ต้องมีครูผู้สอนค่อยให้คำแนะนำควบคู่กับการดูสื่อ DLTV ด้วย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และยังสามารถดูผ่านระบบออนไลน์ อินเตอร์เน็ตได้ด้วย
นอกจากนี้ ทางมูลนิธิฯ ยังบันทึกเทปการเรียนการสอนไว้ให้ครูสามารถนำไปใช้ได้เดิมมูลนิธิฯจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับประถมศึกษาปีที่ 1 -มัธยมศึกษาปีที่ 6 แต่ปัจจุบัน เริ่มตั้งแต่ระดับขั้นอนุบาล 1-ม.3 ซึ่งเป็นโรงเรียนขยายโอกาส และศูนย์เด็กเล็กในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 6,800 กว่าแห่ง โรงเรียนพระปริยัติธรรม 400 กว่าโรง โรงเรียน ตชด.200 กว่าแห่ง ศูนย์ กศน. 29 ศูนย์ รวมแล้วมีผู้เรียนผ่านระบบ DLTV 1.3 ล้านคน
พล.อ.ดาว์พงษ์ กล่าวต่อว่า สำหรับในช่วงสถานการณ์โควิด-19 นี้ ก็เป็นโอกาส เพราะมีไม่กี่ประเทศในโลกที่มีระบบนี้ชดเชยในการจัดการศึกษาซึ่งมูลนิธิฯ มีความพร้อมที่สุดในการสนับสนุนสื่อการเรียนการสอนผ่านช่องสัญญาณของ กสทช. 15 ช่อง เพื่อทดลองจัดการเรียนการสอนในระดับอนุบาล 1-มัธยมศึกษาตอนต้น ในวันที่ 18 พ.ค.นี้ เพื่อปรับพื้นฐานให้กับครูผู้สอน ผู้ปกครอง และนักเรียนได้ปรับตัวก่อน ที่จะเรียนจริงในวันที่ 1 ก.ค. 2563 ส่วนระดับ มัธยมศึกษาตอนปลายจะเรียนออนไลน์ ระดับอาชีวะ และ กศน. ซึ่งทางกระทรวงศึกษาธิการ จะรับผิดชอบจัดทำสื่อการเรียนการสอนเอง เพื่อนำไปทดลองการเรียนผ่านระบบออนไลน์
ด้านนายณัฏฐพล กล่าวว่า ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9 และพระวิสัยทัศน์ของในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่ทรงสืบสานโครงการจึงทำให้มีการพัฒนาสื่อการเรียนการสอน DLTV มีคุณาพมากขึ้นและพร้อมนำมาใช้ในทุกชั้นเรียน และเป็นการรวมพลังของกสทช. ที่สนับสนุนช่องสัญญาณฟรีทีวี 17 ช่อง เพื่อใช้ในการจัดการศึกษาในช่วงวิกฤติโควิต-19 นี้ จะทำให้นักเรียนได้รับความรู้พื้นฐานในช่วงที่ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ แต่ความรู้ไม่สามารถหยุดได้ และหากพื้นที่ใดไม่มีโรคระบาดก็ให้ทางผู้ว่าฯพิจารณาให้โรงเรียเปิดเรียนได้ และต้องเว้นระยะห่าง สวมหน้ากาก มีเจลล้างมือ หรือจัดช่วงเวลาเรียนให้เหมาะสม ส่วนโรงเรียนที่ยังเปิดเรียนไม่ได้ ก็ให้เรียนอยู่ที่บ้านผ่านฟรีทีวี ควบคู่ไปกับการใช้สื่อออนไลน์ในแพลตฟอร์มที่กระทรวงศึกษาพัฒนาขึ้น
“วันที่ 18 พ.ค. จะดำเนินการจัดการเรียนการสอนผ่านสัญญาณฟรีทีวี 17 ช่อง เริ่มตั้งแต่ช่อง 37-53 ตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1-ม.6 ด้วยเนื้อหาสาระที่ครบถ้วนตามหลักสูตรซึ่งมูลนิธิฯจัดเตรียมไว้ และเนื้อหาส่วนหนึ่งกระทรวงศึกษาฯได้จัดทำขึ้นเองในการสอนออนไลน์ส่วนที่มีเด็กบางกลุ่มบ้านต้องการ Digital Box เพื่อรับสัญญาณทีวีนั้นตนได้ประสารกับกระทรวงดีอี เพื่อจัดกล่องรับสัญญาณ 2 ล้านกล่องให้ฟรี ส่วนเรื่องตารางการเรียนการสอน ให้ยึดตามตารางเรียนของ DLTV ซึ่งโรงเรียนต่างๆจะไปจัดตามความเหมาะสมในแต่ละชั้นเรียน ก็เป็นสิทธิ์ของโรงเรียนที่จะจัดตามความสำคัญในแต่ละเรื่องให้เหมาะกับบริบทของแต่ละโรงเรียน และในแต่ละพื้นที่เป็นสิ่งที่โรงเรียนมีอำนาจในการตัดสินใจเพิ่มเติมได้”
รมว.ศธ. กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 18 พ.ค.เป็นต้นไป บางโรงเรียนอาจปรับตัวเปิดให้มีการเรียนการสอนควบคู่กับฟรีทีวี บางพื้นที่ที่ไม่มีความพร้อมก็ต้องให้เวลาในการเตรียมตัว 45 วัน เพื่อเตรียมพร้อมรับเปิดเทอมในวันที่ 1 ก.ค.นี้ และเท่าที่ตรวจสอบดูแล้วโรงเรียนประมาณร้อยละ 80 สามารถเปิดได้ โดยเฉพาะโรงเรียนที่อยู่ในจังหวัดไม่มีผู้ป่วย และโรงเรียนมีมาตรการรักษาความปลอดภัยตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข ก็จะทำให้มีการเรียนการสอนในโรงเรียนได้แน่นอน ก็ขอชื่นชมครูในหลายโรงเรียนที่ตั้งหลักและเตรียมความพร้อมได้พอสมควร และทำการบ้านอย่างเข้มข้น ทำให้มีข้อมูลเกือบจะชัดเจนว่าต้องทำอะไรได้บ้าง และเตรียมพร้อมอะไร รวมถึงมีค่าใช้จ่าย ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการมีงบเพียงพอ จากการตัดงบประมาณมาจากหลายหลายส่วน เพื่อนำมาต่อสู้กับโควิด-19 และมีการปรับงบประมาณปี 64 เพื่อมารองรับในการแก้ไขวิกฤตตรงนี้
ขณะที่ พันเอก ดร.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กล่าวว่า ที่ประชุม กสทช. นัดพิเศษ เมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา อนุมัติให้กระทรวงศึกษาใช้คลื่นความถี่ในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ เพื่อทดลองแพร่ภาพสื่อการเรียนการสอนเป็นการชั่วคราว ตามโครงการทดลองส่งสัญญาณโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัลเพื่อการศึกษาเป็นการชั่วคราวให้ออกอากาศแบบคมชัดปกติ SD ผ่านช่องสัญญาณ 17 ช่อง แบ่งเป็นระดับชั้นละ 1 ช่องสัญญาณ เป็นระยะเวลา 6 เดือน
ทั้งนี้ ขอแนะวิธีการเซ็ตเครื่องรับสัญญาณด้วยการถอดปลั๊กเครื่องรับสัญญาณออกก่อน แล้วนำเสียบใหม่ก็สามารถรับการออกอากาศได้แล้ว ขณะนี้พบว่ามีบ้านเรือนกว่าร้อยละ 45 สามารถเข้าชมได้ทันที จากสัญญาณภาคพื้นดิน ส่วนระบบดาวเทียมและเคเบิล กำลังเชิญผู้ประกอบการมาหารือและประชาสัมพันธ์การออกอากาศให้รับทราบแล้ว ส่วนกลุ่มบ้านเรือนที่ยังคงใช้หนวดกุ้งในการรับสัญญาณ ทางกระทรวงดีอีได้เตรียมมอบกล่องรับสัญญาณใหม่ให้จำนวน 2 ล้านกล่องด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี