‘ครูผู้ช่วย’เฮ!!!‘บอร์ด ก.ค.ศ.ปรับเกณฑ์สอบ‘ภาค ค.’-บรรจุข้ามจังหวัดได้
20 พฤษภาคม 2563 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 4/2563 ว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษาที่สำคัญๆ โดยที่ประชุมได้เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่ง “ครูผู้ช่วย” ที่จะให้มีการจัดสอบในปี 2563 นี้ เฉพาะในส่วนของการสอบ “ภาค ค.” ได้มีการปรับวิธีการสอบ เพื่อให้มีประสิทธิภาพทั้งในด้านการใช้งบประมาณการจัดสอบ ลดขั้นตอนการดำเนินการสอบ และเพื่อให้ได้ครูมาปฏิบัติการสอนได้ทันตามความต้องการของสถานศึกษา
ทั้งนี้ ให้มีการขึ้นบัญชีครูผู้ช่วยไว้ เพื่อเรียกบรรจุเป็นครูผู้ช่วยให้ได้มากที่สุด หากมีตำแหน่งว่างขึ้น และให้บรรจุข้ามจังหวัดที่มีความต้องการได้ด้วย เพื่อดูแลผู้ที่ถูกขึ้นบัญชีไว้ และผู้ที่กำลังจะสอบครูผู้ช่วยให้มีโอกาสได้เป็นครูตามที่ต้องการ
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังหารือภายหลังจากทราบแนวทางการปฏิบัติของแต่ละพื้นที่ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในส่วนของผู้สนับสนุนครูสอนเด็กในระดับปฐมวัยที่มีความต้องการมากที่สุด ส่วนการเรียนที่อาจจะต้องมีการเว้นระยะห่าง และลดจำนวนนักเรียนต่อห้องลง จะต้องเพิ่มจำนวนครูมากขึ้นหรือไม่นั้นต้องไปหารือในรายละเอียดต่อไป และนอกจากนี้ที่ประชุมได้หารือถึงการเตรียมการในหลายๆด้านที่เกี่ยวกับครูทุกในภาคส่วน รวมถึงการสอบในตำแหน่งผู้บริหารและมาตรฐานที่อยากให้ผู้บริหารในแต่ละตำแหน่งต้องมีด้วย
ด้านนายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (เลขาธิการ ก.ค.ศ.) กล่าวว่า สำหรับหลักเกณฑ์และวิธีการสอบแข่งขันตำแหน่งครูผู้ช่วย ซึ่งเคยเข้าที่ประชุม ก.ค.ศ. มาแล้วครั้งที่ผ่านมา แต่มีประเด็นในการสอบภาค ค. ซึ่งเดิมการสอบภาค ค จะเอาผลการสอบภาค ก. และการสอบภาค ข. ที่มีผลการสอบผ่าน 60% แล้วนำมาเรียงคะแนนจากมากไปหาน้อย หากมีตำแหน่งว่าง 1 ตำแหน่ง ก็จะเรียกภาค ค. ลำดับที่ 1 ถึงลำดับที่ 5 เพื่อมาสอบภาค ค แต่การสอบตรงจุดนี้หลายฝ่ายกังวลว่า หากโรงเรียนใดมีตำแหน่งว่างก็ให้เรียกมาสอบจะทำให้เกิดความล่าช้า และเสียงบประมาณในกาดำเนินการมาก และมีความห่วงใยเรื่องความไม่โปร่งใส
เลขาธิการ ก.ค.ศ. ระบุว่า ในวันนี้ที่ประชุมจึงได้มีการปรับหลักเกณฑ์การสอบใหม่ โดยหลักสูตรการสอบให้มีการสอบภาค ก. , ข. , และ ค. เหมือนเดิม และให้มีสาระเหมือนเดิม แต่จะปรับ 2 ประเด็น โดยประเด็นที่ 1 จะเอาคะแนนภาค ก. และภาค ข. ที่ผ่าน 60% มาประกาศเรียงลำดับเลขที่นั่งสอบ จากนั้นก็ให้ทุกคนที่ผ่านภาค ก. และ ข. 60% ไปสอบภาค ค. โดยมีกรรมการกลางชุดเดิมดำเนินการจัดสอบ แต่จะให้ทุกคนในภาค ก. และภาค ข. ที่ผ่าน 60% มาประเมินภาค ค. โดยใช้วิธีการสอบสัมภาษณ์ ส่งแฟ้มสะสมงาน เกี่ยวกับประวัติการศึกษา ผลงานในวิชาเอกที่สำเร็จการศึกษา การเข้าถึงชุมชนและมีจิตอาสา และดูความสามารถในด้านการสอน โดยกรรมการที่สอบสัมภาษณ์ จะดูแฟ้มสะสมผลงาน จะไม่ทราบคะแนนของผู้สอบเลยว่ามีคะแนนเท่าไร และอยู่ลำดับที่เท่าไร
เมื่อสอบประเมินภาค ค. แล้ว จึงนำคะแนนไปบวกกับคะแนนภาค ก. และภาค ข. หากมีตำแหน่งว่างก็เรียกบรรจุตามลำดับคะแนนที่สูงไปหาต่ำได้เลย ซึ่งหลักเกณฑ์ใหม่นี้จะทำให้เกิดความสบายใจกับผู้เข้าสอบได้มากขึ้น และจะทำให้ความสับสนในการดำเนินการลดน้อยลง
สำหรับกรรมการกลางที่ดำเนินการสอบประเมินภาค ค มี 5 คน ประกอบด้วย ผอ.โรงเรียน ครูที่มีความเชี่ยวชาญและชำนาญการในสาขาวิชาเอกนั้น และผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มาจากส่วนราชการที่เป็นหน่วยสอบ ผู้แทนจาก ก.ค.ศ. และที่ กศจ.เสนอมา เพื่อตอบโจทย์และให้เกิดความโปร่งใสเป็นธรรมตรวจสอบได้และเพื่อให้ได้คุณครูที่เป็นคนเก่งคนดีเข้ามาในระบบการศึกษา
เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าวต่อว่า ที่ประชุมได้พิจารณา เรื่องการปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับผู้ที่เกษียณอายุราชการ ซึ่งตำแหน่งผู้บริหารโรงเรียน เดิมทีทางคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบาย กำลังคนภาครัฐ (คปร.) จะคืนตำแหน่งให้ 100% แต่คืนให้บริหาร และคืนครูให้โรงเรียนที่มีนักเรียนเกินกว่า 120 คน แต่ครั้งนี้ไม่ให้คืน ผอ.โรงเรียนที่มีนักเรียนต่ำกว่า 120 คน จึงมีปัญหาว่าบางโรงเรียนมีนักเรียนอยู่ 119 คน และไม่มีผอ.โรงเรียน ซึ่งเป็นโรงเรียนสแตนอโลน และมีบางโรงเรียนที่มีนักเรียนมาเรียนรวมอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน แต่ไม่มีหลักเกณฑ์ที่จะเอาไปอีกโรงเรียนหนึ่งซึ่งไม่มี ผอ.โรงเรียนเลยทำไม่ได้ ดังนั้น ก.ค.ศ.จึงอนุมัติหลักเกณฑ์เพื่อให้สามารถเกลี่ยอัตราไปอยู่ในโรงเรียนควบรวมที่ไม่มี ผอ.โรงเรียน หรือโรงเรียนสแตนอโลนได้ รวมถึงโรงเรียนที่มีนักเรียนต่ำกว่า 40 คน แต่อยากเกลี่ยมาอยู่โรงเรียนมากกว่า 80-90 คน ก็ให้ได้ แต่ถ้ามาแล้วไม่ให้กำหนดตำแหน่งในโรงเรียนต้นทาง เพื่อให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ส่วนมาตรฐานตำแหน่ง ที่กำหนดเป็นคุณสมบัติของผู้สอบแข่งขัน เดิมทีสายครูที่จะเติบโตไปเป็นผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งจะมีปัญหามาโดยตลอด เช่น ผู้ที่เป็นรองผู้อำนวยการโรงเรียนยังไม่ถึง 1 ปี กับคุณครูที่อยู่ในโรงเรียนเป็นครูชำนาญการ ซึ่งคนที่เป็นครูชำนาญการสามารถไปสอบบรรจุเป็น ผอ.โรงเรียนได้ แต่รอง ผอ.ที่มาบรรจุยังไม่ถึง 1 ปี จะไม่สามารถไปสอบบรรจุเป็น ผอ.ได้ ทั้งที่เคยเป็นครูชำนาญการอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว จึงเกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำขึ้น
ในขณะเดียวกันตำแหน่ง ผอ.เขตพื้นที่การศึกษาฯ ก็เช่นเดียวกัน ที่บอกว่าต้องเป็นรองผอ.เขตพื้นที่ฯมาแล้ว 1 ปี จึงจะมีสิทธิสมัครสอบผอ.เขตพื้นที่ฯได้ และบอกว่าผอ.โรงเรียนเชี่ยวชาญถ้าครบ 1 ปี ก็สอบผอ.เขตพื้นที่ได้ แต่เนื่องจากมี ผอ.เชี่ยวชาญบางคน สอบรอง ผอ.เขตได้ ยังไม่ถึง 1 ปี แต่เคยเป็นผอ.เชี่ยวชาญมาแล้ว 5 ปี ไม่มีสิทธิ์สอบ
ดังนั้น ก.ค.ศ. จึงแก้ไข โดยการเปลี่ยนคำว่า เป็น “ดำรงตำแหน่ง หรือเคยดำรงตำแหน่ง อย่างใดอย่างหนึ่ง ต่อไปนี้” เพื่อเป็นการเปิดกว้างให้คนที่มีสิทธิ์ได้รับสิทธิ์สอบ และจะทำให้เรามีโอกาสคัดคนเก่งคนดีเข้ามาในระบบมากขึ้นและไม่เกิดความเหลื่อมล้ำกันในทางการดำเนินการ
นอกจากนี้ที่ประชุมได้อนุมัติกำหนดองค์ประกอบและตัวชี้วัดในการสอบ ผอ.และรองผอ.โรงเรียนของสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) โดยให้ส่วนราชการเป็นผู้กำหนดองค์ประกอบและตัวชี้วัดตามที่ กศน. เสนอมา
นายอัมพร ยังกล่าวอีกว่า ที่ประชุมได้พิจารณา การทดแทนอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุราชการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่ง 38 ค. (2) คือ เจ้าหน้าที่ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 31 อัตรา เพื่อให้ สพฐ. ดำเนินการว่าจ้างในรูปแบบอื่น เช่น พนักงานราชการ เป็นต้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี