รมว.ทส.ส่งมอบระบบน้ำโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ3ตำบล โครงการต้นแบบแก้วิกฤตน้ำท่วม-น้ำแล้งอย่างเป็นระบบ ในพื้นที่จังหวัดพิจิตรและพิษณุโลก พร้อมให้องค์การปกครองสาวนท้องถิ่นและชุมชนท้องถิ่นร่วมบริหารจัดการเพื่อความยั่งยืน
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2563 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาตอและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวว่า จากการรับรายงานพบว่า ในพื้นที่ตำบลป่ามะคาบ ตำบลท่าฬ่อ อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร และตำบลไผ่ล้อม จังหวัดพิษณุโลก ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งต้องใช้น้ำจากคลองท่าหลวง คลองโกรงเกรง คลองไผ่ล้อม และจากแหล่งน้ำ หนอง และบึง มาใช้ทำการเกษตร แต่เนื่องจากประสบปัญหาสภาพคลอง หนอง และบึง ต่างๆ ในพื้นที่ตื้นเขินมาก บางช่วงมีการพังทลายของตลิ่ง ทำให้ไม่สามารถเก็บน้ำได้เต็มประสิทธิภาพ เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง
ส่วนในช่วงฤดูฝนมีปริมาณน้ำไหลผ่านคลองจำนวนมาก และสภาพคลองปัจจุบันไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน หนอง บึง ก็มีสภาพตื้นเขิน ไม่สามารถเก็บกักน้ำได้เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังสูง 1 - 1.5 เมตร และน้ำได้ไหลบ่าเข้าพื้นที่ทางการเกษตร ทำให้ราษฎรในพื้นที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง และประสบปัญหาสภาพน้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ทำการเกษตรในช่วงฤดูฝน จนเกิดความเสียหายเป็นประจำทุกๆ ปี การจัดหาแหล่งน้ำ และแก่ปัญหาน้ำอย่างเป็นระบบ จึงเป็นหน้าที่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งนี้ กรมทรัพยากรน้ำจึงได้น้อมนำแนวพระราชดำริเกี่ยวกับโครงการแก้มลิง โครงการอ่างพวง โครงการประตูระบายน้ำ โครงการระบบเครือข่ายน้ำ และเศรษฐกิจพอเพียง ตามศาสตร์พระราชามาปรับใช้ อันเป็นแนวทางในสืบสาน รักษา และต่อยอด ตามพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 10 มาเป็นแนวทางในการพัฒนา ปรับปรุง ฟื้นฟู แหล่งน้ำในพื้นที่ เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำ อุปโภค บริโภค และบรรเทาปัญหาน้ำท่วมให้กับประชาชนในเขตพื้นที่โครงการ และยังเป็นแหล่งน้ำต้นทุนเสริมในการทำเกษตรกรรม รวมทั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บกักและระบายน้ำได้อย่างเต็มที่ รวมไปถึงการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศแหล่งน้ำ บริเวณเขตพื้นที่โครงการ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.เรื่องของ แก้มลิง โดยการขุดลอกหนองน้ำ แหล่งน้ำ ที่เสื่อมโทรมตื้นเขิน ให้สามารถรับน้ำนองในฤดูฝนไว้ใช้ในฤดูแล้งได้อย่างเพียงพอและเหมาะสม
2.เรื่องของ อ่างพวง โดยการขุดลอก ห้วย คลอง เชื่อมหนองน้ำที่ทำการปรับปรุงฟื้นฟูแล้ว ให้เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน โดยน้ำสามารถไหลถึงกันทั้งหมดเป็นระบบอ่างพวง
3. เรื่องของ เศรษฐกิจพอเพียง ส่งเสริมสนับสนุนให้เกษตรกรเปลี่ยนมาเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจใช้น้ำน้อย ภายหลังโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ ทำการเกษตรแบบอินทรีย์ ลดต้นทุนการผลิต อีกทั้งนำพืชผลการเกษตรมากิน เหลือแบ่งขาย เพื่อลดรายจ่ายเพิ่มรายได้แก่ครัวเรือน
อย่างไรก็ตาม ภาครัฐ โดยกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ห่วงใยประชาชนในการหาแนวทางลดค่าใช้จ่ายในการส่งน้ำเข้าพื้นที่เพาะปลูก โดยการนำนวัตกรรมการสูบส่งน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ และการใช้เทคโนโลยีการเก็บสำรองน้ำในถังแคบชูลความจุน้ำขนาดใหญ่ที่มีความทนทานต่อแดด ลม ฝน และทนแรงดันสูง สามารถติดตั้งได้อย่างรวดเร็วในพื้นที่ เพื่อส่งน้ำและกระจายน้ำไปยังพื้นที่แปลงเพาะปลูก เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้ใช้น้ำอย่างทั่วถึง
ในการดำเนินการครั้งนี้ประยุกต์นวัตกรรมใหม่ล่าสุด ที่นำมาใช้ในโครงการนี้ คือ การนำเทคโนโลยีการออกแบบให้ตอบกับความต้องการของผู้ใช้งานผ่านเครื่องมือทางเทคโนโลยีที่เรียกว่า BIM หรือ Building Information Modeling โมเดลสามมิติที่สร้างงานก่อสร้างเสมือนจริง จึงสามารถวางแผนการก่อสร้างได้อย่างแม่นยำ ลดต้นทุนการก่อสร้างให้น้อยที่สุด พร้อมกับเพิ่มความสุขให้กับประชาชนให้ได้มากที่สุด
นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดทำข้อมูลเทคโนโลยีสารสนเทศขึ้นมาในรูปแบบ 3 มิติ ซึ่งนอกจากจะใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจในช่วงออกแบบได้เป็นอย่างดีแล้วนั้น ข้อมูล BIM ผนวกกับข้อมูลด้าน GIS นี้ ยังสามารถใช้ในการบันทึกข้อมูลเพื่อใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำได้อย่างยั่งยืน และยังสามารถนำข้อมูลนี้ไปเชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายอื่น รวมทั้งการติดตามการใช้น้ำ การบริหารจัดการน้ำ โดยกลุ่มผู้ใช้น้ำในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคตต่อไปอีกด้วย
ค่าลงทุนสำหรับการพัฒนาโครงการรวมทั้งสิ้น 704.241 ล้านบาท ผลประโยชน์จากการดำเนินงานครั้งนี้ คาดว่าจะทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์ จำนวน 3,332 ครัวเรือน พื้นที่ได้รับผลประโยชน์ รวมทั้งสิ้น 49,936 ไร่ ประชาชนในเขตพื้นที่โครงการได้มีน้ำใช้ในเพื่อการเกษตร การอุปโภค บริโภค และรักษาระบบนิเวศ สมกับคำที่กล่าวว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว
นอกจากนี้ ยังช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้ง และอุทกภัย ให้กับประชาชนในเขตพื้นที่โครงการทั้ง 3 ตำบล สามารถลดระดับน้ำท่วมทุกๆ ปี จาก 1.50 เมตร ลงเหลือศูนย์เมตร คือไม่ท่วม และยังพัฒนาพื้นที่การเกษตร ยกระดับให้ประชาชนได้มีรายได้ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงการส่งเสริมให้ประชาชน/ร่วมกันอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศแหล่งน้ำในพื้นที่ทั้ง 3 ตำบล ให้ใช้น้ำอย่างคุ้มค่า และเกิดการใช้ประโยชน์อย่างสมดุลและยั่งยืนสืบไป
สำหรับผลการวิเคราะห์ความคุ้มค่าการลงทุนโครงการดังกล่าวในระยะเวลา 30 ปี พบว่าผลประโยชน์ต่อค่าลงทุน Benefit Cost Ratio มีค่าเท่ากับ 7.31 ผลตอบแทนเป็นเงินปัจจุบัน Net Present Value มีค่าเท่ากับ 3,243 ล้านบาท ผลตอบแทนด้านเศรษฐศาสตร์ Economic Internal Rate of Return มีค่าเท่ากับ 49% ค่าลงทุนการพัฒนาพื้นที่เกษตรต่อไร่ เท่ากับ 12,700 บาทต่อไร่
และท้ายที่สุดแล้ว เรื่องการบริหารจัดการน้ำ ไม่ใช่เรื่องขิงใครคนใดคนหนึ่ง แต่น้ำคือชีวิต เป็นภารกิจของทุกคน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชนจะช่วยกันบริหารจัดการน้ำ ภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วม เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ของชุมชนและอนาคตของลูกหลานของเราสืบไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี