ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาแสดงความเป็นห่วงในเรื่องของการตรวจสอบ และติดตามการใช้จ่ายเงินตามพระราชกำหนด 1.9 ล้านล้านบาทของรัฐบาล ว่าเพื่อให้แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และพลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมของประเทศได้อย่างคุ้มค่านั้น ควรต้องใช้กลไกของสภาฯ คือ การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมา เพื่อช่วยในการตรวจสอบและติดตามการใช้จ่ายเงินกู้ก้อนมหาศาลนี้ และเสนอว่า ถ้าอยากให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินกู้นี้อย่างสูงสุด จำเป็นต้องมี “การประเมินผล” ภายใต้กรอบแนวคิดดังต่อไปนี้
“1. เป้าหมายของแผนงานโครงการการใช้เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท ยังขาดการชี้แจงในเรื่องของเป้าหมายว่าคืออะไร และมีการวัดผลอย่างไร ซึ่งต้องไม่ใช่แค่การวัดความพึงพอใจในเชิงคุณภาพเท่านั้น แต่ต้องเป็นการวัดผลสัมฤทธิ์ในเชิงปริมาณต่อการใช้จ่ายเงินกู้ออกไปด้วย เช่น เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 10,000 บาทต่อเดือนต่อครอบครัวอย่างยั่งยืน พื้นที่การเกษตรนอกเขตชลประทานมีน้ำใช้เพื่อการเกษตรตลอด 12 เดือน จำนวน 450,000 ไร่ เป็นต้น เพราะเป้าหมายเชิงปริมาณเช่นนี้สามารถวัดผลได้เป็นรูปธรรม และนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายเชิงคุณภาพได้ด้วย ดังนั้นการกำหนดเป้าหมายที่แน่ชัดในเชิงปริมาณต่อการใช้เงินกู้ในแต่ละโครงการ จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยกำกับให้การใช้เงินกู้เกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง
2. ผลลัพธ์ของแผนงานโครงการการใช้เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท จะสำเร็จตามกรอบหรือเป้าหมายที่วางเอาไว้หรือไม่ นั่นคือประชาชนจะสามารถพ้นจากความเดือดร้อนได้หรือไม่ ตัวอย่างคือ ถ้าเป้าหมายกำหนดว่าเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 10,000 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน แต่ผลลัพธ์ของแผนงานโครงการคือการจัดหาน้ำให้เกษตรกรสามารถทำการเกษตรได้ตลอดทั้งปี นั่นหมายถึงเมื่อมีน้ำในการเพาะปลูกย่อมหมายถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้น 10,000 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือนตามมาหรือไม่ หรืออาจต้องมีอีกโครงการเชื่อมโยงที่จะเข้ามาทำในเรื่องของการเพาะปลูก การพิลกฟื้นดิน หรือแม้แต่การตลาดเพื่อยกระดับรายได้ ดังนั้น เป้าหมายที่วางเอาไว้ แค่ผลลัพธ์จากบางโครงการอาจไปไม่ถึง จึงต้องมีการบูรณาการโครงการต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อที่จะครอบคลุมกระบวนการที่มีประสิทธิภาพในการพาไปสู่ความสำเร็จของการใช้จ่ายเงินกู้ที่ได้กำหนดเอาไว้
และ3.ในทางที่เทียบเคียงผลลัพธ์และผลสัมฤทธิ์ของโครงการแล้วไม่สำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนด เป็นการเบี่ยงเบนไปจากเป้าหมาย ตรงนี้ต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาลและคณะที่ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการใช้เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท หาสาเหตุและคำอธิบายว่าการเบี่ยงเบนนั้นเกิดขึ้นด้วยเหตุผลอะไรเพื่อนำมาแก้ไข ปรับปรุง พัฒนาการปฏิบัติแผนงานโครงการต่อไปให้บรรลุเป้าหมายมากขึ้น ส่วนในทางที่สำเร็จตามเป้าหมาย ก็ต้องมีหน่วยงานวิเคราะห์หาเหตุผลของความสำเร็จด้วยเช่นกัน เพื่อนำผลลัพธ์ที่ได้นั้นมาปรับใช้กับการปฏิบัติแผนงานโครงการต่อไปให้ครบถ้วน เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติที่มากยิ่งขึ้น”
อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ยังทิ้งท้ายว่า ด้วยกรอบแนวคิดทั้ง 3 ประการนี้ จะทำให้เราเห็นภาพของการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลบนข้อมูลจริง ที่ไม่ถูกบิดเบือนด้วยอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ในทางการเมือง ที่สำคัญ เราจะได้ทราบถึงปัญหา อุปสรรค ที่ทำให้ไปไม่ถึงเป้าหมาย เพื่อนำมาเป็นบทเรียนในการพัฒนาแก้ไขต่อไป รวมไปถึงระบบที่มีประสิทธิภาพต่องานที่เกิดความสำเร็จ เพื่อนำมายึดเป็นรูปแบบตัวอย่างในภายภาคหน้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี