บรรยากาศโดยทั่วไป ณ เวลานี้ ตามที่ผมสังเกตเห็น พบว่าผู้คนเริ่มออกมาใช้ชีวิตกันปกติมากขึ้นเริ่มออกมาทำงาน ทำกิจกรรมต่างๆ ที่ถูกจำกัดไว้เพื่อหยุดการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คำว่า Work from Home เริ่มจะซาๆลง ในขณะที่มาตรการ New Normal ขยายครอบคลุมทุกพื้นที่ ได้รับความร่วมมือบ้าง ไม่ร่วมมือบ้างก็ว่ากันไป แต่ทุกคนเข้าใจกันดีว่า New Normal คืออะไร ท่องกันขึ้นใจกันเลยทีเดียว ฝ่ายรัฐบาลเองก็มุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น วางนโยบายที่จะดูแลประชาชนในทุกกลุ่มอาชีพ ซึ่งเกษตรกรก็เป็นกลุ่มอาชีพที่รัฐบาลให้ความสำคัญ โดยหวังว่าจะทำให้เกิดความมั่นคงในอาชีพ และสามารถดำเนินชีวิตหลังโควิดได้อย่างเป็นสุข จึงมีทั้งมาตรการเยียวยาที่ได้ดำเนินการจนถึงขั้นตอนของการโอนเงินให้ถึงมือเกษตรกรและเปิดการทบทวนสิทธิสำหรับรายที่มีปัญหา
อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนต่อไปจะเป็นประเด็นที่สำคัญมากขึ้น เพราะเป็นเรื่องของการฟื้นฟูอาชีพฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศจากผลกระทบที่เกิดขึ้น การที่รัฐบาลตัดสินใจออก พ.ร.ก.กู้เงิน และนโยบายทางการเงินการคลังที่กำหนดขึ้น เป็นสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการให้สอดคล้องกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย แต่เป็นปัญหาระดับโลก ผลกระทบจึงไม่ธรรมดา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งดำเนินการ โดยมีสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ เป็นฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อน มีคณะกรรมการกลั่นกรองเบื้องต้น โดยที่แต่ละกระทรวงก็ต้องไปผ่านการดูแลของเจ้ากระทรวงขึ้นมาก่อน
ถ้าได้ติดตามการอภิปราย พ.ร.ก.ดังกล่าว จำนวนเงิน 4 แสนล้านบาท จะนำมาใช้เพื่อการฟื้นฟู มี สส. และ สว. หลายท่านได้ให้ความเห็นไว้อย่างหลากหลายว่าการฟื้นฟูเศรษฐกิจครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์พิเศษจริงๆ เชื่อว่าภายใน 4-5 ปีนี้ คงไม่มีรัฐบาลชุดไหนที่จะมีเหตุมาให้กู้เงินเพื่อพัฒนาประเทศในวงเงินขนาดนี้ เพราะต้องมีการจ่ายคืนเงินกู้ดังกล่าวต่อเนื่องอีกหลายปีกว่าจะคืนเงินกู้ได้ทั้งหมดดังนั้นโครงการ/กิจกรรมใดที่จะดำเนินการภายใต้กรอบแผนการดำเนินการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในทุกสาขา จำเป็นต้องพิจารณากันอย่างถี่ถ้วน รอบคอบ และเกิดผลต่อการฟื้นฟูได้อย่างแท้จริง ผมเองมีความกังวลกับประเด็นดังกล่าวมาก เพราะระยะเวลาและเงื่อนไขต่างๆ รัดตัวมาก ต้องเร่งดำเนินการ ส่งผลให้อาจขาดความรอบคอบ และถ้านโยบายหรือกรอบการดำเนินการไม่ชัดเจน จะยิ่งส่งผลกระทบอย่างมหาศาล ไม่ส่งผลดีต่อการฟื้นฟูประเทศแต่อย่างใด
ขณะนี้เกษตรกรสมาชิกแปลงใหญ่ทั่วประเทศกำลังตื่นตัวทำโครงการ โดยได้รับทิศทางมาว่าต้องก้าวสู่การเป็นเกษตรอัจฉริยะ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วหลายส่วนยังไม่ชัดเจนว่าสิ่งใด การเกษตรแบบไหนที่เรียกว่าอัจฉริยะ แต่ได้รับการบอกกล่าวให้ขออุปกรณ์ต่างๆ เพราะเม็ดเงินที่ได้เป็นงบจ่ายขาด วงเงิน 3 ล้านบาทต่อแปลง ผลที่ออกมาแว่วๆ ว่าจะเป็นการซื้อโดรน ซื้อแทรกเตอร์ ซี้อรถเกี่ยวข้าว ตามที่ได้รับแนวทางเกษตรอัจฉริยะมา เข้าใจได้ว่าคนที่กำหนดแนวทางยังไม่เข้าใจประเด็นดังกล่าว ผลจึงออกมาเป็นอย่างที่เห็น หรือจะเป็นด้วยระยะเวลาบีบบังคับ จึงขอเอาที่สะดวกไว้ก่อน ก็ว่ากันไป ซึ่งหากวิธีคิดยังเป็นเช่นนี้ คาดการณ์ได้เลยว่างบประมาณที่ทุ่มมาเพื่อการฟื้นฟูดังกล่าว คงไปไม่ถึงไหน เม็ดเงินที่ว่าจะหมุนไป อาจหมุนได้เพียงไม่กี่รอบ และจบลงที่ผลประโยชน์ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง เสียดายโอกาส เสียดายความตั้งใจ เสียดายกลุ่มอาชีพทางการเกษตรที่กลายเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ของคนอีกกลุ่มหนึ่ง หากจะฟื้นฟูอาชีพทางการเกษตรกันจริงๆ อย่ามองกันสั้นๆ แคบๆ ขอให้เริ่มกันตั้งแต่ฐานรากของการพัฒนา คือ ฐานของงานวิจัยและเทคโนโลยี ผมขอย้ำอีกครั้งว่าการมีโดรนบินเหนือแปลงปลูกไม่ใช่คำตอบว่าแปลงนั้นเป็นเกษตรอัจฉริยะแต่อย่างใด เข้าใจตรงกันนะ
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี