ปัจจุบันแม้ว่าจะเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน แต่ในหลายพื้นที่ยังได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ส่งผลให้การเพาะปลูกประสบปัญหา ผลผลิตที่ได้ลดลง ซึ่งหากเป็นเกษตรกรที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว และเป็นพืชที่ต้องใช้ปริมาณน้ำมาก ยิ่งกระทบหนัก ส่งผลให้รายได้หลักของครัวเรือนเกษตรกร
ด้วยความห่วงใยที่มีต่อสมาชิกสหกรณ์ที่กำลังได้รับผลกระทบ นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ มีนโยบายให้สหกรณ์เข้าไปส่งเสริมสมาชิกปลูกพืชใช้น้ำน้อย อายุสั้น เพื่อสร้างอาชีพเสริม เพิ่มรายได้แก่สมาชิกสหกรณ์ในช่วงประสบปัญหาภัยแล้ง โดยท่านอธิบดีพิเชษฐ์ ได้ประสานขอความร่วมมือกับภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดด้วยตัวเอง นั่นคือ บริษัท แปซิฟิคเมล็ดพันธุ์ จำกัด ภายใต้โครงการปลูกข้าวโพดหวาน (Sweet Corn) เพื่อสร้างรายได้เสริมให้กับสมาชิกสหกรณ์ โดยทางบริษัทจะสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดหวาน 350 กิโลกรัม สำหรับแจกจ่ายให้กับสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร 350 ราย พื้นที่ 350 ไร่ ใน 32 จังหวัด ทดลองปลูกรายละไม่เกิน 1 ไร่ พร้อมทั้งบริษัทจะส่งเจ้าหน้าที่ไปให้ความรู้ถึงวิธีการปลูกที่ถูกต้องและระยะเวลาเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลผลิตข้าวโพดที่มีคุณภาพสอดคล้องกับความต้องการของตลาด
ท่านอธิบดีพิเชษฐ์ ได้ให้ข้อมูลกับผมในวันแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กรม ได้จัดสรรเงินทุนหมุนเวียนจากกองทุนพัฒนาสหกรณ์และกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ให้เกษตรกรกู้ยืมรายละไม่เกิน 5 หมื่นบาท เพื่อนำไปสร้างแหล่งน้ำในไร่นา เพื่อทำเกษตรในฤดูแล้ง และขณะนี้มีเกษตรกรที่ขุดบ่อบาดาลและสระน้ำเสร็จแล้วกว่า 19,000 ราย โดยบางรายได้ปรับเปลี่ยนจากทำเกษตรเชิงเดี่ยวมาปลูกพืชผสมผสาน แต่ในระยะแรกก็ยังมีรายได้ไม่เพียงพอ กรมส่งเสริมสหกรณ์จึงมองหาพืชทางเลือกที่จะช่วยเกษตรกรมีรายได้เสริม อย่างเช่น ข้าวโพดหวาน เนื่องจากมีตัวอย่างจากสหกรณ์ในจังหวัดบุรีรัมย์ได้เริ่มทำกันเอง และทำให้สมาชิกมีรายได้เพิ่มขึ้น จึงเห็นว่าน่าจะให้เกษตรกรที่กู้เงินไปสร้างแหล่งน้ำได้ทดลองปลูกและจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้อีกทางหนึ่ง โดยขณะนี้ พบว่ามีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรสนใจเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 206 แห่ง สมาชิก 5,012 ราย พื้นที่ 5,943 ไร่ ใน 42 จังหวัด ซึ่งการดำเนินโครงการระยะแรก เอกชนจะเป็นพี่เลี้ยงคอยให้คำแนะนำและวางแผนการผลิตร่วมกับสหกรณ์ โดยบริษัทจะทำข้อตกลงเป็นเกษตรพันธสัญญา กำหนดราคารับซื้อหน้าฟาร์มตามราคาที่ตกลงกัน แต่จะไม่ต่ำกว่าราคาตลาด ซึ่ง ณ ปัจจุบัน ราคาที่รับซื้อหน้าฟาร์มเฉลี่ยที่ 6-8 บาท/กิโลกรัม ใช้ระยะเวลาปลูกไม่เกิน 73 วัน ให้ผลผลิตเฉลี่ย 2,100 กิโลกรัม/ไร่ ขณะที่ต้นทุนการผลิตตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว ประมาณ 3,500 บาท/ไร่ เท่านั้น
และในอนาคต หากเกษตรกรต้องการจะทำเป็นอาชีพหลัก ท่านอธิบดีพิเชษฐ์ บอกว่า ทางกรม ยินดีที่จะเป็นตัวกลางหารือเพื่อพัฒนาความร่วมมือระหว่างสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร กับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจข้าวโพดหวาน เช่น บริษัทเมล็ดพันธุ์ หรือบริษัทแปรรูปข้าวโพดหวาน เพื่อทำธุรกิจร่วมกัน พร้อมทั้งสนับสนุนให้สหกรณ์เข้ามาช่วยรวบรวมผลผลิตของสมาชิก เพื่อเสริมสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับเกษตรกรต่อไป รวมถึงยังได้มองพืชเศรษฐกิจตัวอื่นที่จะสร้างรายได้ทำนองเดียวกัน เช่น พริกซอส หรือพืชอื่นๆที่มีตลาดรองรับ มาส่งเสริมให้กับเกษตรกรที่เป็นสมาชิกของสหกรณ์ได้ปลูก สร้างรายได้อีกด้วย
ผมเห็นว่า เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าส่งเสริมให้เกษตรกรสร้างรายได้ ไม่เพียงเฉพาะสมาชิกสหกรณ์เท่านั้น เพราะข้าวโพดหวานถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งที่ตลาดต้องการมาก ทั้งตลาดในประเทศและส่งออก แต่ก็ยังผลิตได้ไม่เพียงพอ อีกทั้งประเทศไทยยังถือได้ว่า เป็นประเทศส่งออกข้าวโพดหวานเป็นอันดับหนึ่ง โดยมีมูลค่าการส่งออกปี 2562 ประมาณ 7 พันล้านบาท แบ่งเป็นข้าวโพดกระป๋อง 5,600 ล้านบาท แช่เยือกแข็ง 800 ล้านบาท มีตลาดส่งออกสำคัญ คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน มาเลเซียและสหภาพยุโรป ท่านอธิบดียังทิ้งท้ายด้วยว่า หากโครงการในระยะที่ 1 ประสบความสำเร็จด้วยดี และมีสมาชิกสหกรณ์ให้ความสนใจเพิ่มขึ้น ก็จะขยายผลเพื่อดำเนินโครงการในระยะที่ 2 ต่อไปอย่างแน่นอน เพราะเป็นโครงการที่ดี ช่วยให้สมาชิกสหกรณ์มีรายเพิ่ม และที่สำคัญไม่ต้องใช้งบประมาณของกรมฯ แม้แต่บาทเดียว
สุธิพงศ์ ถิ่นเขาน้อย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี