22 มิถุนายน 2563 ที่ทำเนียบรับบาล นายวราวิช กำภู ณ อยุธยา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แถลงว่า กรมอนามัยร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการออกคู่มือการปฏิบัติของสถานศึกษา เพื่อเป็นมาตรการเตรียมความพร้อมตามข้อกำหนดกรมอนามัย 20+24 ข้อ ซึ่งสถานศึกษาจะต้องมีกาคัดกรองสุขภาพ ตรวจสอบการสวมหน้ากาก ล้างมือ จัดเตรียมสบู่ แอลกอฮอล์ ทำความสะอาด เว้นระยะห่าง และลดความแออัด
ทั้งนี้โรงเรียนที่สามารถจัดห้องเรียนเว้นระยะห่างไม่ต่ำกว่า 1.5 เมตร นักเรียนมาเรียนพร้อมกันได้ทั้งหมดมี 31,000 โรงเรียนทั้งรัฐบาล นานาชาติและอาชีวศึกษา ส่วนโรงเรียนขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถมาเรียนพร้อมกันได้และต้องจัดให้สลับกันมาเรียนมีจำนวน 4,500 โรงเรียน ซึ่งในส่วนนี้คนที่ไม่มาเรียนที่โรงเรียน ก็ให้เรียนทางออนแอร์หรือออนไลน์ที่บ้าน โดย 4,500 โรงเรียน จะมีการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสาน 5 รูปแบบ 1.เรียน 5 วัน หยุด 9 วัน 2.สลับวันคี่/คู่ 3.เรียนผสม 4.สลับเรียนและ 5.สลับเช้า-บ่าย
นายวราวิช กล่าวว่า ทั้งนี้มี 7 ประเด็นที่มีข้อห่วงใย 1.รถโรงเรียน ที่กระทรวงศึกษาธิการได้มอบงบประมาณให้โรงเรียนไปจัดหาซื้อรถโรงเรียนเพิ่มเติม 2.เด็กเล็ก ทั้งนี้โรงเรียนขนาดเล็กนอกจากมีครูประจำแล้วก็จะมีครูผู้ช่วยในการดูแล รวมการจัดให้เด็กนอนห่างกัน 1.5 เมตร หันเท้าชนกัน และไม่สวมหน้ากากระหว่างนอน 3.การรับประทานอาหารกลางวัน ให้แบ่งเป็น 4 ผลัด โดยผลัดละ 30 นาที 4. ในเรื่องการสอบ กระทรวงศึกษาฯ จะมีการประกาศภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ว่าจะต้องสอบหรือไม่ แต่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จะต้องสอบ 5.กรณีปิดโรงเรียน ให้มีการคัดแยกคนที่มีอาการ แจ้งผู้ปกครอง แจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณะสุขเข้าไปตรวจสอบ
โดยหากไม่พบก็สามารถเปิดโรงเรียนได้ตามปกติ แต่หากพบว่ามีคนติดเชื้อให้ปิดโรงเรียน 3 วันเพื่อทำความสะอาด ผู้ใกล้ชิดหยุด 14 วัน 6.ศบค.ได้ประสานกับกระทรวงศึกษาฯ อยากให้มีการใช้ ไทยชนะ ซึ่งส่วนหนึ่งทำได้ อีกส่วนหนึ่งจะให้ครูจดรายชื่อเด็กที่มาเรียนและ7.โรงเรียนชายขอบ ที่เด็กจะข้ามชายแดนเข้ามาเรียน ซึ่งขณะนี้ยังไม่เปิดให้เข้ามาเรียน ซึ่งปัญหานี้โรงเรียนตามชายขอบได้มีการประสานกับตม.เพื่อเอาใบงานไปใส่ในกล่อง และเด็กนักเรียนมาเอาใบงานและทำการบ้านมาใส่กล่องโดยไม่ต้องเจอกัน ส่วนการเรียนการสอนก็เรียนทางโทรทัศน์
ด้านนายอำนาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการเปิดภาคเรียน ในวันที่ 1 ก.ค.2563 ของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ว่า ขณะนี้ สพฐ.มีโรงเรียนที่มีความพร้อมสามารถเปิดเรียนที่โรงเรียนได้ ตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) จำนวน 21,000 โรงเรียน และมีโรงเรียนอื่นๆที่ค่อนข้างมีความพร้อม อีกกว่า 2,000 โรงเรียน ที่ต้องจัดการเรียนการสอนตามห้องประชุมหรือห้องอื่นๆ ซึ่งรวมแล้วมีโรงเรียนที่สามารถเปิดเรียนที่โรงเรียนได้ตามปกติประมาณ 34,000 โรงเรียน
ส่วนที่เหลืออีก 5,000 กว่าโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนนาดใหญ่ ซึ่งมีนักเรียนจำนวนมาก ส่วนใหญทางโรงเรียนจะจัดการเรียนแบบผสมผสานกัน ทั้งแบบออน์ไซต์บวกออนไลน์ ในจำนวนมีทั้งทั้งโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาและระดับประถมศึกษา -ระดับอนุบาล ส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนประจำจังหวัด ประจำอำเภอ ก็ขอให้ทางโรงเรียนและคุณครูดูแลเด็กอย่างใกล้ชิดระหว่างเรียน เพราะเน้นให้เด็กมาโรงเรียน ส่วนเด็กที่มาโรงเรียนไม่ได้ก็ขอให้ผู้ปกครองดูแล
เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อถึงโรงเรียนที่มีเด็กนักเรียนพักนอนที่โรงเรียน และโรงเรียนที่มีที่พักนอนที่มีมาตรฐาน คือโรงเรียนการศึกษาพิเศษ โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย โรงเรียน ภปร.ราชวิทยาลัย ซึ่งมีหอพักที่ได้มาตรฐาน และสามารถจัดการเรียนการสอนได้ตามมาตรการ ศบค.
ส่วนโรงเรียนที่มีข้อจำกัดของที่พักนอน คือโรงเรียนที่มีห้องพักนอนที่สร้างขึ้นมาเอง หรือสพฐ.สร้างให้ แต่มีเด็กอยู่ในลักษณะแออัด ซึ่งโรงเรียนประเภทนี้มีอยู่ประมาณ 500 โรง ใน 39 เขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งเป็นโรงเรียนทั้งระดับประถมฯและมัธยมฯ สพฐ.จึงให้ทางโรงเรียนและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเข้าไปดูแลเป็นการเฉพาะเพื่อให้เด็กที่บ้านอยู่ไกลได้มาเรียนครบทุกคน ซึ่งอาจจะให้เด็กไปพักนอนช่วงกลางคืนตามห้องเรียน หรือห้องประชุมเพื่อลดความแออัดและเพื่อให้เด็กปลอดภัยจากโควิด-19
เลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า หากเปิดเรียนวันแรกโรงเรียนพบมีเด็กติดเชื่อโควิด-19 ก็ให้ทางโงเรียนส่งเด็กไปให้กับทางสาธารณสุขทันที ไม่ให้พักรักษาที่ห้องพยาบาลภายในโรงเรียน หรือมาตรวจในโรงเรียนเพราะจะเป็นการแพร่เชื้อ หากกรณีพบหลังเปิดเทอมไปแล้ว ก็ให้ตรวจสอบเส้นทางเด็กที่ติดเชื้อว่ามาจากที่ใด ถ้าเด็กที่ติดเชื้ออยู่แต่ห้องเรียนก็ให้ปิดเฉพาะห้องเรียนนั้น แต่ถ้าไปสัมผัสเพื่อนๆนักเรียนคนอื่นๆในโรงเรียนด้วย ก็ให้ปิดทั้งโรงเรียน ซึ่งต้องปฏิบัติตามมาตรการที่ ศบค.กำหนด และหากมีการปิดการเรียนการสอนั้โรงรียนก็ให้ทำการเรียนการสอนผ่านระบบออน์แอร์ และออนไลน์ ซึ่งเป็นระบบที่ สพฐ.เตรียมความพร้อมไว้รองรับอยู่แล้ว
ส่วนกรณีเด็กนักเรียนชายขอบทางภาคเหนือที่จะดินทางเข้ามาเรียนคงเข้ามาไม่ได้เนื่องจากยังมีการล็อคดาวน์ แต่ถ้าเป็นเด็กไทยจึงจะอนุญาตให้เข้าได้ สำหรับกรณีภาคใต้คือเด็กไทยที่ไปอยู่กับพ่อแม่ที่มาเลเซีย ได้รับอนุญาตให้เข้าได้ แต่ต้องมีการกักตัวในสถานที่ของรัฐ ส่วนเด็กที่อยู่กับพ่อแม่ที่มาเลเซียไม่กลับมาไทย แต่อยากเรียนหนังสือ ก็ให้เรียนทางออนไลน์และมีการส่งใบงานที่ครูประจำชั้นได้
“จากที่ผมลงสำรวจพื้นที่ และจากการสอบถาม ผอ.เขตพื้นที่ฯ และ ผอ.โรงเรียน รวมถึงส่งตัวแทนลงไปสำรวจพื้นที่แล้ว พบว่าโรงเรียนส่วนใหญ่มีความเข้าใจในการป้องกันโควิด-19 และมีความพร้อมตั้งแต่หน้าโรงเรียนที่จะต้องมีการคัดกรอง วัดอุณภูมิเด็ก และในโรงเรียนจะต้องมีมาตรการอย่างไร เช่น การเว้นระยะห่างทางสังคม การล้างมือ โดยทางโรงเรียนจะต้องให้ความรู้แก่เด็กที่จะดูแลป้องกันตัวเองได้ และทางส่วนกลางก็พยายามสนับสนุนในการดำเนินการของโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี