‘ดีเอสไอ’ลุยหัวหิน สอบแหล่งทุนต่างชาติ ใช้นอมินีไทยหลอกขายบ้านจัดสรร 240 ล้าน
23 มิถุนายน 2563 ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) , ร.ต.อ วิษณุ ฉิมตระกูล ผอ.กองคดีความมั่นคง ลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการบ้านจัดสรรหัวหินโฮมม ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.หนองแก อ.หัวหิน จ.ประจวบ คีรีขันธ์ หลังจากกลุ่มผู้เสียหายชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่ได้รับผลกระทบจากการซื้อบ้านโครงการบ้านจัดสรร 5 โครงการจำนวน 18 ราย ได้ร้องเรียน โดยระบุว่าถูกหลอกขายบ้านจัดสรรจากโครงการฯหมู่บ้าน ทั้งสร้างบ้านไม่เสร็จตามสัญญา ไม่สามารถทำการโอนชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ได้
พ.ต.ท ปกรณ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าโครงการบ้านจัดสรรมีทั้งหมด 5 โครงการ มีชาวอังกฤษเป็นเจ้าของโครงการ แต่ใช้ชื่อนิติบุคคลไทยเป็นนอมินี จดทะเบียนประกอบกิจการเป็นนิติบุคคล 5 บริษัท โดยพบพฤติการณ์ชาวอังกฤษได้ร่วมกับคนไทย หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการโฆษณาขายบ้านจัดสรร เมื่อมีผู้เสียหายหลงเชื่อเข้าไปทำสัญญาซื้อ-ขายกับโครงการ แต่ภายหลังปรากฏว่าไม่เป็นไปตามสัญญาที่ได้โฆษณาไว้ บ้านหลายหลังก่อสร้างไม่เสร็จตามสัญญา ไม่สามารถส่งมอบบ้านได้ตามกำหนด
“นอกจากนี้ การดำเนินโครงการดังกล่าว มิได้มีการขออนุญาตจัดสรร และการก่อสร้างแต่อย่างใด ตลอดจนมีปัญหาด้านสาธารณูปโภค รวมทั้งไม่สามารถขอเลขที่บ้านได้ เป็นเหตุให้กระทบกับการขอใช้น้ำประปาและไฟฟ้าทั้งหมด และยังหลีกเลี่ยงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสร้างบ้านจัดสรร เพราะตามกฎหมายคนต่างด้าวจะถือครองที่ดินในไทยไม่ได้ มีการใช้ชื่อคนไทยจดทะเบียนนิติบุคคลเป็นนอมินีก็เพื่ออำพรางประกอบกิจการ และให้คนต่างด้าวเป็นผู้มีอำนาจในการบริหารจัดการทุกโครงการ ถือว่าขัดต่อกฎหมายพ.ร.บ.ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ซึ่งผู้เกี่ยวข้องจะถูกแจ้งข้อกล่าวหานี้” พ.ต.ท.ปกรณ์ กล่าว
พ.ต.ท ปกรณ์ กล่าวอีกว่า ส่วนการโฆษณาขายบ้านจัดสรรโดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จถือว่ามีการกระทำการที่เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน เอาเปรียบผู้บริโภค และยังมีการหลีกเลี่ยงการเสียภาษี ถือเป็นความผิดอาญาอื่นที่เกี่ยวข้อง เพราะยังตรวจสอบพบข้อมูลการขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง โดยไม่เสียภาษี ทำให้รัฐต้องสูญเสียรายได้จำนวนมาก ถือว่าเป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมายการจัดสรรที่ดิน และการก่อสร้าง ผลักภาระให้ผู้บริโภคไปดำเนินการเอง ไม่ปฏิบัติตามสัญญา และเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค
“คดีนี้ถือว่าเข้าข่ายคดีพิเศษ แต่ต้องขยายผลว่ามีการกระทำผิดตามกฎหมายฟอกเงินและมีการทำความผิดในคดีอาญาอื่นด้วยหรือไม่ เนื่องจากคนต่างด้าวใช้ให้นิติบุคคลไทยเป็นนอมินีในการประกอบธุรกิจต้องห้ามของคนต่างด้าว ตามบัญชี 1 (9) การค้าที่ดิน และบัญชี 3 (10) การก่อสร้าง ถือเป็นความผิดตามพ.รบ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และจากหลักฐานการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน สัญญาการก่อสร้าง และข้อมูลทางการเงินมูลค่ากว่า 240 ล้านบาทถือว่ามีสินทรัพย์รวมเกิน 100 ล้านบาท นอกจากนี้จะต้องตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินทุนคนต่างด้าวดังกล่าวด้วยว่ามีทีมาที่ไปอย่างไร” พ.ต.ท.ปกรณ์ กล่าว
พ.ต.ท.ปกรณ์ กล่าวว่า ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการสอบสวนยังไม่ได้แจ้งข้อหาใคร ขอเวลาให้คณะกรรมการสอบสวนได้ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนซึ่งก็ได้เร่งรัดให้ติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิด อีกทั้งมูลค่าความเสียหายสูงกว่า 240 ล้านบาท หลังผู้เสียหายเข้าร้องเรียนกับศูนย์ดำรงธรรม และดีเอสไอได้เข้ามาดูแลคดีนี้โดยร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง สรรพกร และกรมที่ดิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี