วันที่ 24 มิ.ย.63 เมื่อเวลา 09.30 น. พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) และ พล.ร.อ.สิทธิพร มาศเกษม เสนาธิการทหารเรือ ในฐานะเลขาธิการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (เลขาธิการ ศรชล.) พร้อมคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพเรือได้เดินทางลงพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่สาธารณะบริเวณอ่าวบ้านดอน จ.สุราษฎร์ธานี ของเจ้าหน้าที่ประจำกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย และแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่สาธารณะบริเวณอ่าวบ้านดอน ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 2 (ศรชล.ภาค 2) ที่วัดชลธาร ต.บางไทร อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี
โดยมี พล.ร.ท.สำเริง จันทร์โส ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 ผู้อำนวยการ ศรชล.ภาค 2 นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัดสุราษฎร์ธานี (ศรชล.จ.สุราษฎร์ธานี) น.อ.วศากร สุนทรนันท์ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมเจ้าหน้าที่ส่วนราชการ ศรชล.ภาค 2 และ ศรชล.จ.สุราษฎร์ธานีร่วมลงพื้นที่ ซึ่งการตรวจเยี่ยมในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการติดตามการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่สาธารณะบริเวณอ่าวบ้านดอน และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันได้อย่างเท่าเทียมแล้ว ยังเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ของศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ภายใต้ความกดดันของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่
ทั้งนี้ ผบ.ทร.ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่สาธารณะบริเวณอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยได้สั่งการให้ทัพเรือภาคที่ 2 ในฐานะศูนย์อำนวยการการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 2 ดำเนินการพบปะเพื่อเจรจาผู้เกี่ยวข้องในการกำหนดเป้าหมาย แนวทาง และระยะดำเนินการ
ประกอบด้วย 1.ให้กลุ่มผู้ประกอบการหรือผู้ที่อ้างสิทธิ์ในการครอบครองพื้นที่สาธารณะโดยมิชอบด้วยกฎหมายบริเวณอ่าว บ้านดอน คืนพื้นที่สาธารณะด้วยความเต็มใจ 2.สำรวจสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำลำน้ำและดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่ครอบครองพื้นที่สาธารณะโดยมิชอบด้วยกฎหมาย 3.รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งปวง เช่น คอกหอย ขนำ และดำเนินคดีถึงที่สุด และ 4.จัดระเบียบ กำหนดมาตรการหรือแนวทางต่าง ๆ เพื่อความยั่งยืนในอนาคต
สำหรับระยะเวลาในการดำเนินการแบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 ดำเนินการตามแผนงานในพื้นที่ อ.เมืองสุราษฎร์ธานี และ อ.พุนพิน ระยะที่ 2 ดำเนินการตามแผนงานในพื้นที่ อ.กาญจนดิษฐ์ ระยะที่ 3 ดำเนินการตามแผนงานในพื้นที่ อ.ไชยา และ อ.ท่าฉาง โดยศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 2 จะอำนวยการในการดำเนินการทั้งปวง และให้การสนับสนุนช่วยเหลือศูนย์อำนวยการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัดสุราษฎร์ธานีอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อผลประโยชน์โดยตรงของประชาชนและประเทศชาติ
โดยมีหน่วยร่วมดำเนินการประกอบด้วยหน่วยงานใ จ.สุราษฎร์ธานี ได้แก่ 1.ประมงจังหวัดสุราษฎร์ธานี, 2.เจ้าท่าภูมิภาคสาขาสุราษฎร์ธานี, 3.กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 4, 4.กองกำกับการ 6 กองบังคับการตำรวจน้ำ, 5.ด่านศุลกากรบ้านดอน, 6.เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองจังหวัดสุราษฎร์ธานี และ 7.ตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ขณะที่ ทัพเรือภาคที่ 2 ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 2 ได้ขอรับการสนับสนุนกำลังพลจาก ทัพเรือภาค 2 ออกลาดตระเวนดูแลความเรียบร้อยในพื้นที่อ่าวบ้านดอน โดยการกำหนดมาตรการต่างๆ นั้น มีความมุ่งหวังเพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันในพื้นที่สาธารณะของอ่าวบ้านดอนได้อย่างเท่าเทียม บนพื้นฐานของความถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อร่วมกันสร้างผลผลิตให้ทรัพยากรหอยแครงคงความอุดมสมบูรณ์ตลอดไป
ทั้งนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ให้โอวาทแก่เจ้าหน้าที่ประจำกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยและแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่สาธารณาบริเวณอ่าวบ้านดอนฯ ด้วยว่า วันนี้เป็นประวัติศาสตร์หน้าแรกของ ศรชล.ภาคที่ 2 และประมงจังหวัดสุราษฎร์ธานีที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ของ ศรชล.อย่างเต็มที่ แต่ก่อนนี้ในการทำงานทางเรือทางทะเลก็ต่างคนต่างทำแต่ ณ บัดนี้มีพระราชบัญญัติ ศรชล. เกิดขึ้นแล้ว บางคนอาจจะเข้าใจได้ง่ายว่าคือการรักษาความมั่นคงทางทะเลหรือ กอ.รมน.ในทะเล ซึ่งแตกต่างจาก กอ.รมน.ทางบกอย่างมาก
อีกบทบาทหนึ่งคือนับจากนี้ต่อไปคำว่า "ผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล" จะปรากฏขึ้นโดยลำดับ เหตุการณ์ของการแย่งหอยแครงในทะเล ต้องแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ของชาติทางทะเล กับผลประโยชน์ส่วนตนทางทะเล เราจะไม่ยอมให้ผลประโยชน์ส่วนตน มาอยู่เหนือผลประโยชน์ของชาติโดยเด็ดขาด ต้องขอบคุณทุกภาคส่วนของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่กล้าหาญในการแก้ปัญหาที่จะเผชิญกับความไม่ชอบมาพากลของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ หรือกลุ่มคนที่ประกาศยกเลิกการสร้างขนำในทะเล ขอให้ข้าราชการใน ศรชล. และกองทัพเรือได้ตระหนักว่านี่คือความมั่นคงไม่ใช่การผิดกฎหมายโดยปกติทั่วไป ในปีที่แล้วหลายคนคงรับทราบและจำได้ก็คือที่เรียกว่า seasteading คือการสร้างที่พักอาศัยในทะเลโดยมิชอบทางกฎหมาย
แต่ในวันนี้สิ่งปลูกสร้างในทะเลที่อ่าวบ้านดอน มีความร้ายแรงกว่าเพราะเป็นการสร้างกันอย่างถาวรในทะเล เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องทำ ขอให้ทุกท่านทุกคนจงตระหนักในข้อนี้ให้ดี บทบาทหน้าที่ของทุกหน่วยงานที่ร่วมบูรณาการใน ศรชล.ขอจงร่วมมือร่วมใจกันทำงานนี้เพื่อชาติให้สำเร็จ จงอย่าได้แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ขอให้อยู่บนพื้นฐานของกฎหมายที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ตรงไปตรงมา อย่าได้เป็นเครื่องมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าทหารข้าราชการต้องทราบดี
"ปัจจุบันอุดมการณ์ชาติน้อยลงไป ผมได้ย้ำเตือนกำลังพลในกองทัพเรืออยู่เสมอว่าแต่ก่อนนี้ เราสู้กับกระสุนเหล็ก แต่วันนี้ที่ร้ายแรงกว่ากระสุนเหล็ก ก็คือกระสุนน้ำตาล เรามักหลงใหลไปกับความชื่นชม ความสะดวกสบาย ลาภสักการะ จนลืมชาติบ้านเมือง ลืมเรื่องความมั่นคง ขอให้ตระหนักข้อนี้ให้ดี ตราบใดที่เราไม่หลงกระสุนน้ำตาล ก็เชื่อว่าจะแก้ปัญหานี้ไปได้ด้วยดี บนพื้นฐานของความเข้าใจของทุกฝ่าย จงเข้าใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนหาเช้ากินค่ำที่ถูกรังแกจากผู้มีอำนาจที่เหนือกว่าโดยมิชอบ ขอเป็นกำลังใจให้ปฏิบัติงานไปด้วยความเรียบร้อยหากมีข้อเหลือบ่ากว่าแรงขอจงรีบรายงานและขอจงทำงานด้วยความสมัครสมานสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว"
พร้อมกันนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ยกตัวอย่างว่า "ประตูบ้านถ้าปิดอยู่แมลงวันย่อมไม่เข้าฉันใด เช่นเดียวกันหากเราสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียว ก็จะทำให้สิ่งที่ไม่ชอบมาพากลจะสูญสลายไปได้โดยสิ้นเชิง จงยึดคำพูดคำนี้ เป็นประโยชน์เป็นในการนำทางส่องการแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมืองต่อไปในอนาคต"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี