เปิดแล้วอาบอบนวด-ผับ-บาร์
ศบค.ไฟเขียว
ขยายพรก.ฉุกเฉินอีก1เดือน
นายกฯสั่งพร้อมรับเปิดเทอม
ให้ประเมินผลแบบวันต่อวัน
ไทยเนื้อหอมตปท.ขอมาเยือน
ลุ้นปั๊มวัคซีน30ล.โดสได้ปี’64
ศบค.ไฟเขียวตามที่สมช.เสนอต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 1 เดือนถึง 30 กรกฎาคม พร้อมคลายล็อกระยะที่ 5 เปิดกิจกรรมกิจการเสี่ยงสูงทั้ง โรงเรียน ร้านเกมส์ อินเตอร์เนต รวมถึงผับบาร์ คาราโอเกะ อาบอบนวด พร้อมวางมาตรการเข้ม ห้ามค้าประเวณี หากพบติดเชื้อในพื้นที่ต้องมีบทลงโทษ เจ้าของต้องมีส่วนรับผิดชอบ ปลัดสธ.เผยผลิตวัคซีนโควิด-19 คืบ คาดกลางปี 64 ปั๊มได้ 30 ล้านโดส นายกฯแจงจำเป็นต้องใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อ ปัดใช้ปิดกั้นลิดรอนใคร ย้ำเป็นห่วงระบาดรอบ 2 พร้อมสั่ง ศธ.ดูแลมาตรการรับมือเปิดเรียน ให้ประเมินสถานการณ์รายวัน “หมอหนู”เผยไทยเนื้อหอม หลายปรเทศจีบขอให้เปิดรับ ขณะที่กรมควบคุมโรค–บัวแก้ววางหลักเกณฑ์เข้ม
เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค. เป็นประธานประชุม ศบค. ชุดใหญ่ เพื่อพิจารณา 5 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ มาตรการผ่อนคลายกิจกรรมกิจการระยะที่ 5 ใน 5 กิจกรรมกิจการ อาทิ อาบ อบ นวด ผับ บาร์ คาราโอเกะ การเดินทางของบุคคลจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศ มาตรการรองรับการศึกษาเด็กนักเรียนชายแดน และ การเว้นที่บนรถโดยสาร และที่สำคัญคือ การขยายพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปอีก 1 เดือนหรือไม่ หลังที่ประชุม ศบค.ชุดเล็กเห็นชอบให้ขยายเวลาประกาศใช้อำนาจตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีก 1 เดือน ตลอดเดือนกรกฎาคม เพื่อรองรับผ่อนคลายระยะที่ 5 เนื่องจากมีกิจกรรมและกิจการ ที่มีความเสี่ยงสูงมากต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะเปิดเทอม 1 กรกฎาคม
ติดเชื้อเพิ่ม7ราย-ในปท.เป็นศูนย์35วัน
หลังประชุม นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงผลประชุม ศบค.ชุดใหญ่โดยเริ่มจากรายงานสถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 ประจำวันว่า ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 7 ราย ในสถานที่กักตัวของรัฐ ทำให้มียอดผู้ป่วยสะสม 3,169 ราย หายป่วยสะสม 3,053 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม ทำให้ยอดเสียชีวิตคงที่ 58 ราย และไม่มีผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศติดต่อกัน 35 วัน
7รายใหม่กลับจากอินเดีย-สหรัฐ
สำหรับผู้ป่วย รายที่ 1-6 เดินทางมาจากอินเดีย เป็นหญิงไทย อายุ 28 31 และ 36 ปี และชายไทย 3 ราย อายุ 42 45 และ 61 ปี เข้าพักในสถานที่กักตัวของรัฐ เดินทางมาถึงประเทศไทยวันที่ 23 มิถุนายน ในวันที่ 26 มิถุนายนตรวจพบเชื้อ โดยพบว่าใน 3 รายมีอาการ ไอ เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น และหายใจลำบาก ส่วนอีก 3 รายไม่มีอาการ ขณะที่ผู้ป่วยรายที่ 7 เดินทางมาจากสหรัฐอเมริกา เป็นหญิงไทย อายุ 27 ปี มาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน เข้าพักสถานที่กักตัวของรัฐวันที่ 28 มิถุนายน ตรวจพบเชื้อ โดยไม่มีอาการ ไอ และเจ็บคอ สำหรับสถานการณ์ทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อ 10,237,543 ราย และเสียชีวิต 504,075 ราย
ตั้งเป้าผลิตวัคซีนโควิด30ล.โดสปี64
นพ.สุขุมกล่าวต่อว่า ในการผ่อนปรนระยะที่ 5 ซึ่งเป็นกิจกรรมกิจการที่มีความเสี่ยง แต่เราต้องการให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติแบบวิถีใหม่ จึงไปสำรวจว่าเรามีทรัพยากรอะไรรองรับบ้าง ซึ่งทุกอย่างเพียงพอ อาทิ เตียงผู้ป่วยที่รองรับสถานการณ์ได้วันละ 50-200 คนต่อวัน และเตรียมพร้อมอุปกรณ์การแพทย์รองรับไม่มีบกพร่อง ขณะที่การผลิตวัคซีนรักษาโควิดนั้น คืบหน้ามาก โดยจะเริ่มทดลองวัคซีนในมนุษย์อย่างน้อย 2 ชนิด แบ่งเป็น 3 ระยะจนถึงช่วงต้นปี 2564 และระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2564 จะผลิตระดับอุตสาหกรรมตั้งเป้าหมายให้ได้ 30 ล้านโดส สามารถนำมาใช้ได้ช่วงกลางปี 2564
ด้านนพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงผลประชุมศบค.เพิ่มเติมว่า นายกฯในฐานะผอ. ศบค.กล่าวขอบคุณข้าราชการฝ่ายการเมือง ข้าราชการ และประชาชนที่ทำให้เราผ่านการผ่อนคลายระยะที่ 4 และเข้าสู่การจัดการระยะที่ 5 และเรามีตัวเลขเป็นศูนย์ต่อเนื่องวันที่ 35 แล้ว ทำให้สถานการณ์ของไทยเป็นที่ไว้วางใจระดับหนึ่ง แต่สถานการณ์ของโลกยังมีประเด็นปัญหาอยู่ ซึ่งนายกฯเน้นย้ำศบค.เป็นตัวอย่างที่ดีในการทำงานแบบนิวนอร์มอล เช่น รับฟังปัญหาจากผู้ที่มีผลกระทบ โดย ศบค.ชุดเล็กเปิดรับฟังปัญหา เช่น นวดแผนโบราณ ศิลปิน นักร้อง ห้างสรรพสินค้า ร้านเกม ทำให้กระบวนการพิจารณาตัดสินใจนำไปสู่แนวทางการลงมติต่างๆ
นายกฯย้ำเหลื่อมเวลาทำงานใช้ไทยชนะ
ทั้งนี้ นโยบายอีกด้านหนึ่ง ที่นายกฯให้ความสำคัญคือ การทำงานที่บ้านและเหลื่อมเวลาทำงาน ยังเป็นนโยบายต่อไป เพื่อลดความแออัดในการเดินทาง นายกฯจึงอยากให้เน้นย้ำตรงนี้ และนายกฯย้ำการใช้แพลตฟอร์มไทยชนะ พร้อมทิ้งท้ายเรื่องการช่วยเหลือเยียวยาฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เร่งกลั่นกรองแผนงาน และการเสริมโอกาสศักยภาพของไทยหลังวิกฤตโควิด-19 คือ การเป็นศูนย์กลางการรักษาพยาบาลทางการแพทย์ เป็นแหล่งอาหารของโลก และท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ
ศบค.เคาะคลายล็อคเฟส5เริ่ม1กค.
สำหรับที่ประชุม ศบค.ยังพิจารณามาตรการผ่อนคลายระยะที่ 5 ตามที่พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่จะเริ่มวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้เปิดโรงเรียนและสถานศึกษาของรัฐบาล แต่ให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคให้ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมิวนิตี้มอลล์ เปิดดำเนินกิจการได้โดยไม่จำกัดเวลา
เปิดอ่าง-ผับบาร์-โอเกะไม่เกิน24.00น.
ในส่วนสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ สถานประกอบการการคล้ายสถานบริการ เช่น โรงเบียร์ โรงเหล้า และลานเบียร์ ให้เปิดกิจการได้ แต่ไม่เกินเวลา 24.00 น.ทุกกรณี รวมถึงร้านข้าวต้ม ขายสุราไม่เกินเวลา 24.00 น. ตามกฎหมายการจำหน่ายสุรา ทั้งนี้ ให้จำกัดผู้ใช้บริการตามพื้นที่ 4 ตารางเมตรต่อคน และห้ามร่วมโต๊ะกับกลุ่มอื่น ระยะห่างของโต๊ะ 2 เมตร มีฉากกั้น 1.50 เมตร ส่วนร้านเกมส์ และร้านอินเทอร์เน็ต ให้เปิดบริการ โดยทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา จำกัดจำนวนผู้ใช้บริการ 4 ตารางเมตรต่อคน จำกัดเวลาใช้บริการ 2 ชั่วโมงต่อรอบ และให้พักทำความสะอาด 15 นาที
คาดโทษเอาผิดเจ้าของถ้าเจอติดเชื้อ
ขณะที่กิจการอาบ อบ นวด และโรงน้ำชา ต้องมีใบอนุญาต บริการถูกกฎหมาย ผู้ใช้บริการต้องลงทะเบียนแอพพลิเคชั่นไทยชนะ สวมหน้ากากอนามัย หน้ากากผ้าตลอดเวลา ยกเว้นขณะอาบน้ำ ทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสบ่อยๆ ตรวจหาเชื้อโรคกลุ่มพนักงานเป็นระยะ พร้อมเฝ้าระวังโรคอื่นด้วย และห้ามค้าประเวณี อาจพิจารณาให้ติดตั้งกล้องวงจรปิดในพื้นที่ส่วนรวมของร้าน
“อย่างไรก็ตาม กิจกรรมเหล่านี้หากตรวจพบว่ามีการติดเชื้อในพื้นที่ใดต้องมีบทลงโทษ เพราะหากเกิดการติดเชื้อจะมีความสูญเสียตามมาทุกกิจกรรมและกิจการ ซึ่งก่อนได้รับการผ่อนคลายทุกสถานประกอบการจะยอมรับเงื่อนไขต่างๆ เพราะต้องการเปิดกิจการ แต่ต้องพิจารณาในส่วนนี้ เพราะต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย” นพ.ทวีศิลป์กล่าว และว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขยายเวลาประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีก 1 เดือน โดยจะเสนอผลประชุมเข้าครม.วันที่ 30 มิถุนายน
ไฟเขียว6กลุ่มต่างชาติเข้าไทย
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังพิจารณามาตรการผ่อนคลายการเข้ามาในราชอาณาจักร โดยกระทรวงการต่างประเทศเสนอขยายกลุ่มชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย 6 กลุ่ม คือ 1.คู่สมรสและบุตร ผู้ที่ได้รับอนุญาตทำงานในราชอาณาจักร 2.ผู้มีสัญชาติไทย ซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร 3.คู่สมรสต่างชาติและบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้มีสัญชาติไทย 4.ผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทย แต่จำเป็นต้องเข้ามารับการรักษาพยาบาลในประเทศไทยและมีผู้ติดตาม 5.นักเรียน นักศึกษาต่างชาติ และผู้ปกครองของบุคคลดังกล่าว
และ6.ผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรตามข้อตกลงพิเศษกับประเทศเป้าหมาย ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มนักธุรกิจและมีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค โควตาที่กำหนดต้องสอดคล้องกับสถานที่พักที่รัฐกำหนด (ASQ) อาจกำหนดไม่เกิน 200 คนต่อวัน โดยประเทศเป้าหมาย คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ฮ่องกง และสิงค์โปร ซึ่งจะพิจารณาผู้ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ และจัดทำข้อตกลงดังกล่าวจะแบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ ผู้เดินทางมาแบบธรรมดา อยู่ในประเทศไทยนาน ต้องอยู่ในสถานที่ที่รัฐกำหนด 14 วันและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง และกลุ่มที่ 2 คือ ผู้เดินทางมาแบบเร่งด่วน กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มนักธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความสำคัญกับเศรษฐกิจของไทย เดินทางมาระยะสั้นต่ำกว่า 14 วัน
เปิดด่านเพิ่ม9จุด-จับตาคนลักลอบผ่านแดน
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังพิจารณาหลักเกณฑ์รองรับการเดินทางแขกของรัฐบาล ต้องมาเป็นคณะเล็กไม่เกิน 10 คน เป็นระยะสั้น ตรวจเชื้อโควิดก่อนเดินทางและมาถึงไทย ให้หน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพเชิญแขกระดับสูงจัดเจ้าหน้าที่ประจำคณะ และต้องมีสาธารณสุขและฝ่ายความมั่นคงติดตามประจำคณะ ทั้งนี้ ศบค.เห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอเปิดด่านเพิ่ม 9 จุดทั่วประเทศ จากเดิมเปิดอยู่แล้ว 28 แห่งใน 22 จังหวัด และที่ผ่านมาเผยแพร่ข่าวในโซเชียลมีเดียว่า มีการลักลอบผ่านแดนทางช่องทางธรรมชาติ ซึ่งผอ.ศบค.สั่งการให้ตรวจสอบ ซึ่งในที่ปนระชุมศบค.ชุดเล็กมีการรายงานตัวเลขการลักลอบผ่านแดนช่องทางธรรมชาติทั่วประเทศ เฉพาะเดือนมิ.ย. มี 2,498 คน ประเด็นนี้จึงไม่อาจวางใจได้ จึงต้องขอความร่วมมือประชาชนสอดส่องดูแลให้มั่นใจว่าไม่มีผู้ที่ติดเชื้อเข้ามา ขณะที่กระทรวงคมนาคมยกเว้นข้อกำหนดการเว้นที่นั่งระหว่างบุคคลบนรถโดยสารสาธารณะ แต่ต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา และความหนาแน่นผู้โดยต้องไม่เกิน 70 เปอร์เซ็นต์
แจงพรก.ฉุกเฉินจำเป็น-ปัดปิดกั้นใคร
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงหลังประชุมศบค.ถึงผลประชุมวันนี้ว่า เราอยู่ในระยะเวลาสำคัญ ที่จะทำทุกอย่างให้ดีขึ้น แต่เรายังมีความเสี่ยงอยู่หลายประการ เหตุผลและความจำเป็น บอกแล้วว่า ระยะแรก ระยะที่สอง ระยะที่สาม และระยะสี่ เราต้องปฏิบัติตามมาตรการอย่างเข้มงวด วันนี้จะผ่อนคลายมาตรการระยะที่ห้า ซึ่งมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก แต่ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของพวกเราทุกคน ทั้งประชาชน สถานผู้ประกอบการ สิ่งสำคัญที่สุด อยากย้ำว่า จากสถิติของไทยที่ติดเชื้อไม่มากเกิดจากอะไร ทุกคนต้องย้อนกลับไปว่า เกิดมาจากมาตรการควบคุมของเราที่เข้มงวดในระยะแรก ตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม มีการใช้มาตรการพิเศษ ใช้พ.ร.ก. จึงควบคุมได้ถึงจุดนี้ นี่คือเหตุผลและความจำเป็น สิ่งสำคัญที่สุดคือทำไมจำเป็นต้องมี เรามีกฎหมายกว่า 40 ฉบับ ที่หลายหน่วยงานถือไว้ ฉะนั้นหลายกิจกรรมไม่สามารถดำเนินการได้โดยทันที ไม่ว่าจะเป็นการเปิด หรือปิดหรือการควบคุมคนเข้าออกประเทศ ต้องผ่านขั้นตอนหลายอย่าง ซึ่งอาจ ไม่ทันเวลาแก้ปัญหาตามสถานการณ์ จึงจำเป็นต้องมีพ.ร.ก.ออกมา ยืนยัน ไม่ได้มุ่งหวังไปปิดกั้นลิดรอนใครทั้งสิ้น เพราะทุกคนคือลูกหลานของเรา สิ่งสำคัญคือ ห่วงเรื่องการแพร่ระบาด ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ในต่างประเทศ จะเห็นได้ว่าหลายประเทศ มาร่วมประกอบกิจกรรม อะไรก็ตามจำนวนมาก และทำให้ติดเชื้อ โควิด มากในลำดับต้นๆ เหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องนำมาพิจารณา
สั่งโฆษกศบค.-ปลัดสธ.ชี้แจงพร้อมรับระบาด
นายกฯกล่าวอีกว่า เราต้องทำงานเชิงรุกต่อไปวันข้างหน้า จะทำอย่างไร เรื่องการท่องเที่ยว การค้าขาย การประกอบกิจการต่างๆ ซึ่งเราเป็นห่วงเรื่องโรงแรม สถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย ตนสั่งการให้โฆษก ศบค และปลัดกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงความชัดเจน เหตุผลความจำเป็นที่ต้องคลายล็อคระยะ 5 สิ่งสำคัญคือ เห็นใจผู้มีรายได้น้อย คนตกงาน ทำให้ขาดรายได้เลี้ยงครอบครัว อีกเหตุผลคือความพร้อมในระบบสาธารณสุขที่รองรับ ถ้ามีสถานการณ์เกิดขึ้น ชี้แจงเพื่อให้ทุกคนเห็นร่วมกันว่าเรามีความพร้อม แต่ไม่สามารถรับรองได้ว่าจะ 100% หรือไม่ 100% อยู่ที่คนไทยทุกคน ที่ต้องร่วมมือกันทำจึงจะผ่านพ้นไปด้วยดี
ถามว่ายืนยันการใช้พรก.ฉุกเฉินไม่เป็นการลิดรอนสิทธิประชาชนตามที่มีการนำไปพูดบนโลกโซเชียล ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ลิดรอนอะไร เรื่องนี้คนละกาลเทศะ
นายกฯกำชับศธ.พร้อมรับเปิดเทอม
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการกล่าวถึงความพร้อมการเปิดภาคเรียนวันที่ 1 กรกฎาคมว่า นายกฯย้ำให้กระทรวงเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์เต็มที่ โดยให้ประสานขอความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ อสม. และหน่วยงานกระทรวงมหาดไทยแก้ไขสถานการณ์ ซึ่งเบื้องต้นโรงเรียนส่วนใหญ่บริหารจัดการได้ เมื่อถึงเวลาจริงการควบคุมนักเรียนอาจมีปัญหาอยู่บ้าง บุคลากรทางการศึกษาอาจไม่พอ ทั้งนี้ ในส่วนโรงเรียนใหญ่จะจัดการเรียนการสอนแบบเหลื่อมเวลาแน่นอน แต่จะเหลื่อมสลับวัน หรือสลับเวลาเรียนเช้าบ่าย ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละโรงเรียน
ไม่อนุญาตให้นร.ชายขอบ7หมื่นคนเข้าปท.
นอกจากนี้ นายกฯสั่งการให้ดูแลเรื่องจัดการเรียนการเรียนสอนโรงเรียนชายขอบ โดยเวลานี้ยังไม่อนุญาตให้เด็กนักเรียนจากประเทศเพื่อนบ้านเดินทางเข้ามาเรียนในไทย ซึ่งนักเรียนกลุ่มนี้มีประมาณ 70,000 คน ขณะที่นายกฯย้ำให้ดำเนินการด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดจากสถานการณ์เหล่านี้ เช่น อาจจะให้ใช้วิธีการเรียนออนไลน์ หรือเรียนผ่านโทรทัศน์ดาวเทียมไปก่อน เป็นเรื่องที่กระทรวงจะต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป หลังเปิดภาคเรียนจะติดตามประเมินผลกันทุกวันและให้แก้ไขสถานการณ์กันต่อไป
ไทยเนื้อหอมหลายปท.จีบขอผ่อนผันเข้าปท.
ส่วนนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการจับคู่ประเทศท่องเที่ยวหรือทราเวลบับเบิล (Travel Bubble) ว่า ขณะนี้มีเอกอัครราชทูตหลายประเทศติดต่อเข้ามาหลายประเทศมาก แต่เราต้องรอนโยบายจากศบค. ในหลักการไม่มีปัญหา แต่เราต้องมีมาตรการที่ทำให้กิดความมั่นใจว่าความปลอดภัยต้องเกิดกับผู้ที่เดินทางเข้ามาและประชาชนของเรา ขณะเดียวกัน ต้องปลอดภัยสำหรับคนไทยที่จะเดินทางไปประเทศของเขาด้วย โดยเราต้องกำหนดเกณฑ์การพิจารณษ ซึ่งกรมควบคุมโรคกับกระทรวงการต่างประเทศคุยกันอยู่ และนำมาหารือใน ศบค. เป็นกลุ่มนักธุรกิจที่มีความสำคัญและจำเป็นในประเทศ เช่น นักวิชาการ วิศวกร และช่วงเทคนิค ที่เข้ามาช่วยกิจการต่างๆในประเทศไทย เราจะอนุญาตให้เข้ามาก่อนได้ แต่นักท่องเที่ยวยังไม่พิจารณา
เริ่มทดลองวัคซีนในลิงอีกรอบ
ผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าเรื่องพัฒนาวัคซีน นายอนุทินกล่าวว่า สัปดาห์นี้ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะเริ่มทดลองในลิงอีกครั้งหนึ่ง ส่วนภาคเอกชนก็กำลังจะทดสอบ ผลที่ออกมาค่อนข้างดี แต่ความจริงผลในสัตว์อาจดี แต่พอมาในคนผลอาจไม่เหมือนที่ทดลองในสัตว์ก็ได้ ซึ่งเขาคงมีวิธีการพัฒนาแก้ไข คาดว่าไทยน่าจะมีวัคซีนใช้ปี 2564
“วิษณุ”ชี้แก้กม.โรคติดต่ออีกยาว
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่จะมีการปรับปรุงพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)โรคติดต่อพ.ศ.2558 ว่า เรื่องดังกล่าวยังไม่มีการพิจารณาในที่ประชุม ศบค.วันนี้ เพราะต้องแยกออกมาพิจารณาเพื่อเสนอต่อสภาฯพิจารณา ซึ่งคงต้องใช้เวลายาวพอสมควร อาจจะนานเป็นปี ดังนั้น คงไม่ทันที่จะนำมาแก้ปัญหาการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ช่วงนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี